เปิดปมประเด็นข้อมูลใหม่ “วิวัฒนาการไวรัสตระกูลโคโรนา” ก่อนมาเป็น “โควิด-19” ที่กำลังพัฒนานำไปสู่แนวโน้มการผสมควบรวมกลายพันธุ์เกิดเป็นไวรัสตัวใหม่ ไม่ใช่ “โควิด-19 เดิม” สามารถก้าวข้ามเกิดเป็นโรคติดต่อข้ามกันไปมาได้ทั้งในสัตว์ และคนแล้ว...
เริ่มมีรายงานการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สุนัข แมว ในเกาะฮ่องกง ต่อมาเดือน เม.ย.ก็มี “เสือโคร่งติดเชื้อ” สวนสัตว์เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ล่าสุดโปแลนด์ตรวจพบ “มิงก์” ในฟาร์มติดเชื้ออย่างน้อย 8 ตัว
การตรวจพบเชื้อในกลุ่มสัตว์นี้มักใกล้ชิดเจ้าของผู้ดูแลติดโควิด-19 ที่เป็นการติดจากคนสู่สัตว์ ในเรื่องนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้เป็นที่ติดตามจับตาจากองค์การอนามัยโลกในด้านสัตว์ (OIE)
ตั้งแต่เดือน ก.พ.2563 มีรายงานว่า... “โควิด-19” มีการติดต่อเชื้อสู่แมว เสือ สุนัขจากคน และพบลักษณะตัวรับ หรือตัวจับกับท่อนของไวรัสในสัตว์ต่างๆ ในบางสปีชีส์มีการยืนยันด้วยการทดลองให้มีการติดเชื้อจริงๆ
...
และยังพบการติดเชื้อในสถานการณ์ธรรมชาติจากคนไปสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิง ช้าง ม้า วัว ควาย แพะ แกะ ลา หมู หนู กระรอก กระต่าย ปลาโลมา มีความสามารถแพร่กระจายในหมู่สัตว์ตัวอื่นต่อไปอีกได้ เมื่อเข้าอยู่ในเซลล์ร่างกายสัตว์ ก็พัฒนาให้เข้ากับบ้านใหม่อย่างดีเยี่ยม โดยสัตว์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปกติก็ได้
ทำให้รูปร่างหน้าตาไวรัส มีลักษณะผิดเพี้ยนเปลี่ยนจากเดิมที่ได้รับจากคนไม่มากก็น้อย
ตัวอย่างรายงาน “การติดไวรัสโควิด–19 ตัวมิงก์” ในแถบสแกนดิเนเวีย เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน มีการแพร่ย้อนกลับจากสัตว์ต่างๆ มาสู่คน ซ้ำร้ายรหัสพันธุกรรมก็เปลี่ยนไปจากชนิดเคยระบาดในต้นปี 2563 ทำให้ “คน” ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันยับยั้งได้ดีเท่าไวรัสตัวเดิม ทั้งยังแพร่สู่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ดีรวดเร็วกว่าเดิมด้วย
ประการต่อมา...“สัตว์ทุกชนิด” มีเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนาในตัวอยู่แล้ว ส่วน “โควิด–19” มีต้นกำเนิดจากค้างคาวผ่านตัวนิ่มมาสู่คน เมื่อเชื้อกลายพันธุ์จาก “คน” ผ่านลงสู่ “สัตว์เลี้ยง” ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงอาจเกิดเป็น “โควิดชนิดใหม่” เมื่อกลับมาสู่คนอีก “ตัวโรค” มีลักษณะผิดเพี้ยนในทางรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ก็ได้
ตามปกติ “โควิด–19” เมื่อเข้าสู่ “คน” มักผันแปรรหัสพันธุกรรมไปเรื่อยๆอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าปล่อยให้ระบาดรุนแรง ย่อมส่งผลให้รหัสพันธุกรรมหน้าตาเปลี่ยนแปลกออกไปมากเท่านั้น
นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดมานี้ “ไวรัสฉลาดมาก” ในการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปเรื่อยๆ ผลตามมา คือ การตรวจจับไวรัสจากการตรวจแยงจมูก และคอ ด้วยวิธี PCR จะจับได้ไม่หมด และไม่แม่นยำเหมือนการระบาดในช่วงต้นปี 2563 ทำให้คิดว่า “ไม่มีไวรัสจากการตรวจ” กลายเป็นเหตุปล่อยคนติดเชื้อหลุดรอดเข้ามาในประเทศไทยก็ได้
สาเหตุเพราะ “เชื้อโควิด–19” มีความผิดเพี้ยนต่างออกไปจากเดิม ทำให้การตรวจค้นหา “ไม่พบเชื้อ” ดังนั้นต้องมีความระมัดระวังค่อนข้างสูง
เช่นนี้นำมาสู่ “วิธีตรวจเลือดหาเชื้อ” ด้วยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว 0.3-0.5 ซีซี ถ้าคนใดติดเชื้อแสดงอาการ หรือไม่มีอาการ หรือแม้แต่รหัสพันธุกรรมผิดเพี้ยนไปจากเดิมเพียงใด ก็สามารถตรวจเจอได้ โดยมีเงื่อนไขการติดเชื้อใน 4-5 วันอาจไม่พบเลือดตำหนิ แต่หลังติดเชื้อแล้ว 4-5 วัน แม้ไม่มีอาการก็สามารถตรวจเจอทุกกรณี
ดังนั้น “นโยบายลดวันกักตัวนักท่องเที่ยวจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน” ต้องคัดกรองด้วยการเจาะเลือดตั้งแต่ต้น เพื่อปิดประตูกั้น “ไวรัสกลายพันธุ์ผิดเพี้ยน” เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ในการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 จากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยที่เป็นวิธีเหมาะสมที่สุด
ถ้าผลการตรวจเลือดในช่วงวันที่ 0 และวันที่ 5–7 หากพบว่า “ผลเป็นลบ” ก็เท่ากับไม่มีการติดเชื้อ แต่ถ้าผลเป็นบวกจะต้องตรวจวิเคราะห์ซ้ำต่อว่าเป็นเชื้อที่สามารถแพร่โรคต่อได้อีกหรือไม่
ตามที่เคยปรากฏมานี้ “ผลบวก” ก็ไม่ได้หมายความว่า “สามารถแพร่เชื้อได้เสมอไป” แต่อาจเป็นบุคคลเคยติดเชื้อมาตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วมีการรักษาหายดี ก็ย่อมยังมี “ร่องรอยแผลเป็น” เมื่อมีตรวจคัดกรองด้วยวิธีใดก็ตามยังต้องพบเป็น “ผลบวก” อยู่เช่นเดิม แต่ผลบวกนี้ไม่สามารถแพร่กระจ่ายเชื้อต่อได้
ย้ำว่า...“การเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยว” เข้ามาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เมื่อเข้ามาแล้วต้องเจาะเลือดในวันที่แรก ที่ยังคงต้องให้กักตัวไม่ต่ำกว่า 5-7 วัน จากนั้นก็เจาะเลือดครั้งที่ 2 หากให้ผลลบตรงนี้ก็มีโอกาสติดเชื้อน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย ถ้ายังไม่สบายใจในวันที่ 7 ก็สามารถตรวจด้วยพีซีอาร์ซ้ำอีกก็ได้
ประเด็นสำคัญ....“เมื่อโควิด–19 กลายพันธุ์มีรูปร่างผิดเพี้ยนจากเดิม” ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการตรวจคัดกรองร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน เพื่อให้ควบคุม “ตัวโรค” ที่ผิดเพี้ยนไปนี้ โดยเฉพาะ “การผลิตวัคซีน” ที่ย่อมมีความจำเป็นต้องจับจ้องติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด
“ดังนั้นการทดลอง หรือผลิตวัคซีนในช่วงที่ผ่านมานี้ถูกออกแบบมาใช้ป้องกัน “ไวรัสโควิด–19” ในการระบาดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ฉะนั้นเองคงต้องติดตามต่อว่า “วัคซีน” จะมีประสิทธิภาพป้องกันได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงมีประสิทธิภาพดีถึง 90% ตามที่โฆษณากันไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ว่า
ด้วยสัญญาณเหตุความกังวลว่า...“ผู้เคยติดเชื้อหายแล้ว” กลับมีการติดเชื้อครั้งใหม่อีกภายในเวลาผ่านไปเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งการติดเชื้อนี้เป็น “ไวรัสชนิดตรงกันในรัฐเดียว” ด้วยซ้ำ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ แสดงว่า “เชื้อไวรัส” ที่กระจัดกระจายอยู่นั้น มีการปรับเปลี่ยนความผิดเพี้ยนผ่าเหล่าได้อย่างรวดเร็วขึ้น
จึงทำให้ “ผู้เคยติดเชื้อแล้วผ่านไปเพียง 6 สัปดาห์” สามารถติดเชื้อใหม่ได้ เพราะตามหลัก “คนติดเชื้อแล้ว” มักต้องมีระบบภูมิคุ้มกันสมบูรณ์ สามารถทำลายป้องกันการติดระลอก 2 เข้ามาใหม่ได้ แต่กลับทำลายเชื้อไม่ได้ นั่นก็แสดงว่า “เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ผิดเพี้ยนไป” ดังนั้น “วัคซีน” ต้องมีความระมัดระวังสูงสุด
โดยเฉพาะ “การนำน้ำเหลืองผู้ติดเชื้อรักษาหายดี” มาใช้ย่อมมีโอกาสไม่ได้ผลค่อนข้างมีสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามการศึกษาของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ฯ มีรายงานพบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในวันแรก มีระดับภูมิคุ้มยับยั้งทำลายไวรัสได้ค่อนข้างสูง ขณะที่ “เชื้อโรค” ดำเนินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แสดงว่า กลไกการยับยั้งเชื้อไวรัสนี้ไม่ได้อยู่ที่ระดับน้ำเหลือง หรือแอนติบอดีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบระบบอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วย
ประเด็น... “ความคืบหน้าการผลิตวัคซีนในไทย” ต้องยอมรับว่า “วัคซีนของไทยพ่วงอยู่กับต่างประเทศ” ด้วยการพัฒนาร่วมกันเป็นหลัก เช่น “โมเดอร์นา” บริษัทผลิตยาในสหรัฐอเมริกา หรือ “ออกซ์ฟอร์ดแอสตราเซเนกา” ดังนั้น “วัคซีนกลุ่มนี้” ย่อมไม่ได้เกิดจากการพัฒนาของคนไทย แต่มีลักษณะการจองซื้อมากกว่า...
ตอกย้ำความแตกต่างของ “วัคซีนผลิตจากใบยาพืช” มีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำจากคนไทยทั้งสิ้น ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าวัคซีนชนิดอื่น สามารถสร้างวัคซีนใหม่ได้ใน 9 วัน ถ้าทราบว่า “รหัสพันธุกรรม” และใส่รหัสเข้าไปก็ผลิตใหม่ได้ ด้วยผลงานนักวิจัยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ใบยานี้ก็จะ “สร้างโปรตีน” ตามที่ต้องการพัฒนาวัคซีน และแอนติบอดี ในการยับยั้งเชื้อไวรัสใหม่อย่างรวดเร็ว...เบื้องต้นความคืบหน้า... “ผลการทดลองในลิง” สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นผลดี ทั้งในระดับเซลล์ และในระดับน้ำเหลือง กำลังจะทดสอบในคน ต้นปี 2564 และเตรียมสร้างโรงงานผลิตวัคซีน อุปกรณ์ต่างๆ เร็วๆนี้
อีกไม่กี่วันนี้จะมีการประกาศ “ระดมทุนขายหุ้นให้คนไทย” ที่เป็นโรงงานของคนไทยแท้จริง
สุดท้ายนี้...ไม่ว่า “วัคซีนชนิดไหน หรือของประเทศใด” ที่สามารถได้ผลในการยับยั้งป้องกันโควิด-19 ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ “ประเทศไทย” ก็พร้อมยอมรับนำมาใช้ให้คนไทย เพื่อจะได้เปิดประเทศลั้นลากันได้...
แต่ก่อนมีวัคซีนใช้กัน... “ถ้าทุกคนไม่ระวังตัว” เชื่อว่า “โควิด–19 ตัวใหม่” เข้ามาแน่นอน เน้นย้ำว่า... “สัตว์นำเข้า หรือสัตว์แปลกๆ ไม่ควรเอาเข้ามาตอนนี้” ถ้าไม่จำเป็น มิเช่นนั้นมันจะมาพร้อมไวรัสกลายพันธุ์เต็มร้อย...ร้ายกว่าเดิม.