• เคลือบสี เคลือบแก้ว ต่างกันอย่างไร
  • เคลือบแก้ว ความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย
  • ข้อดี ข้อเสีย อ่านก่อนตัดสินใจเคลือบแก้วรถคันโปรด


การเห็นรถยนต์คันโปรดดูใหม่เงางามอยู่เสมอ ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนรักรถ ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการดูแลรักษารถยนต์ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเคลือบสี เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ซึ่งหลายคนฟังแล้วอาจจะไม่เข้าใจว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้น แตกต่างกันอย่างไร และมีความจำเป็นแค่ไหน

การเคลือบสีรถยนต์ 

เริ่มจาก "การเคลือบสี" เป็นการขัดแว็กซ์ (Wax) หรือลงน้ำยาพิเศษเคลือบสีรถ ทำหน้าที่เหมือนฟิล์มบางๆ เคลือบผิวรถไว้ ทำให้น้ำไม่เกาะผิวรถ ปกป้องสีจากความร้อน คราบสกปรกต่างๆ และทำให้สีรถดูมีชีวิตชีวา

แต่หากเทียบกับการเคลือบแก้วแล้ว การเคลือบสีจะมีอายุการใช้งานน้อยกว่า หลังจากลงน้ำยาเคลือบ 1 ครั้ง จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-3 เดือน แต่ข้อดี คือ ราคาจะถูกกว่าการเคลือบแก้ว ที่สำคัญ ในปัจจุบันมีน้ำยาเคลือบสีรถออกมาวางขายหลากหลายยี่ห้อ สามารถซื้อมาทำเองได้

...

เคลือบแก้ว คืออะไร แข็งดั่งเพชรจริงไหม?

การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ล้วนเป็น Hard Coating หรือการเคลือบรถยนต์โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนประกอบหลักของ ซิลิกา หรือ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ลงบนผิวชั้นแลคเกอร์ของรถเพื่อเพิ่มความหนาและการปกป้อง

แต่อย่าเข้าใจผิดว่า การเคลือบแก้วแล้วจะมีคุณสมบัติปกป้องดุจดั่งเพชร ชนก็ไม่บุบ เอาหินปาใส่รถสีก็ไม่ถลอก เพราะแท้จริงแล้วคุณสมบัติของการเคลือบแก้ว จะช่วยเพิ่มความหนาจากชั้นแลคเกอร์ในระดับ 3-5 ไมครอน และความแข็งระดับ 7-9 H (H มาจาก Hardness Scale เป็นค่าที่ใช้วัดความแข็ง)


ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ "เคลือบแก้ว"

ก่อนจะถึงขั้นตอนการลงน้ำยาเคลือบแก้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้รถมีความเงางาม คือการเตรียมพื้นผิวของรถ ต้องทำความสะอาดและขจัดรอยต่างๆ ออกให้หมดก่อน ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความใส่ใจและความละเอียดอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเมื่อเคลือบแก้วไปแล้ว ฝุ่น หรือรอยที่เอาออกไม่หมด ก็จะคงอยู่ให้เห็นในชั้นเคลือบ

อาจเรียกได้ว่า การเคลือบแก้วเป็นการรักษาความเงางามของรถไว้ได้นานกว่าปกติ ซึ่งในปัจจุบันน้ำยาเคลือบแก้วบางยี่ห้อ มีคุณสมบัติเพิ่มความเงามากขึ้นด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำ ควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการทำอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากการเคลือบแก้วต้องใช้ความชำนาญในการทำสูง

สำหรับคนที่ไม่อยากลงมือทำเอง สามารถนำรถยนต์ไปยังคาร์แคร์หรือศูนย์ให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ หลายราคา โดยส่วนใหญ่จะให้เลือกเป็นแพ็กเกจ เช่น

เคลือบแก้ว 2 ปี ราคา 15,xxx

เคลือบแก้ว 3 ปี ราคา 3x,xxx

เคลือบแก้ว 5 ปี ราคา 4x,xxx

ผู้ที่จะใช้บริการควรศึกษาแพ็กเกจอย่างละเอียด ดูความน่าเชื่อถือของศูนย์ให้บริการ และต้องดูก่อนว่า ศูนย์บริการใช้วิธีเคลือบแก้วด้วยระบบใด ซึ่งในปัจจุบันนิยมลงน้ำยาหลักๆ อยู่ 2 รูปแบบคือ ระบบทา และระบบพ่น

ระบบทาด้วยมือ ข้อดีคือ ลงน้ำยาเคลือบแก้วได้เต็มที่ เคลือบได้หนา แต่มีข้อจำกัดในการทา อาจไม่ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะซอกเล็กๆ

ระบบพ่น ข้อดีคือ น้ำยาจะสามารถเข้าถึงได้ทุกซอกทุกมุม แต่จะอาจจะสิ้นเปลืองน้ำยามากกว่า และต้องใช้อุปกรณ์ในการพ่น


คุณสมบัติหลัง "เคลือบแก้ว" รถยนต์

1. รักษาความเงางามของรถ และทำให้รถมีความเงางามเพิ่ม

2. เวลารถเป็นรอย จะเกิดรอยที่เคลือบแก้ว ไม่ได้เกิดบนแลคเกอร์รถ

3. อายุการใช้งานมากกว่าการเคลือบสี ซึ่งจะนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับน้ำยาที่ใช้ด้วยคือ ประมาณ 1-3 ปี หรือหากได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ถูกต้องสามารถอยู่ได้นานถึง 5 ปี

4. ลดการเกาะของน้ำ

5. ช่วยยืดอายุความสดของสีรถ


เคลือบเซรามิก เหมือนหรือต่างกับเคลือบแก้วอย่างไร

ส่วนการ "เคลือบเซรามิก" หลายคนอาจจะเหมารวมว่าเป็นเคลือบแก้ว แต่ก็มีความแตกต่างกันในส่วนของสารประกอบ เป็นการนำน้ำยาเคลือบแก้วมาพัฒนาให้มีความทนทานต่อการขีดข่วนมากขึ้นเป็นต้น.

ผู้เขียน : J. Mashare

กราฟิก : Varanya Phae-araya

อินโฟกราฟิก : Taechita Vijitgrittapong