สาวไทยแชร์ประสบการณ์ 5 ขั้นตอน ขนย้ายสัตว์เลี้ยงจากไทยไปอยู่ที่อเมริกา พร้อมเผยคุณภาพชีวิตน้องหมาน้องแมวดีขึ้นมาก เพราะเจ้าของไม่ต้องรถติด ทำให้มีเวลาพาไปเดินเล่น

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nattaphorn Albrecht โพสต์แชร์ประสบการณ์การนำน้องหมาและน้องแมวเดินทางมาต่างประเทศ โดยระบุข้อความ ตอนนี้เราย้ายมาอยู่ที่อเมริกาได้เกือบ 3 เดือนแล้ว เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ นำน้องหมาและน้องแมวจากเมืองไทยมาที่อเมริกา เขียนไว้เผื่อบางท่านมีข้อสงสัยและต้องการหาข้อมูล โดยจะแยกเป็นขั้นตอนไปนะคะ

1. เตรียมตัว

เนื่องจากสามีเราย้ายมาก่อนเกือบปี เราค่อยตามมาเพราะติดเรื่องงาน เรื่องย้ายบ้านและที่สำคัญเรื่องย้ายสัตว์เลี้ยง เราหาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ต โทรไปสอบถามเอเจ้นท์ และเกือบใช้เอเจ้นท์แล้วด้วย เพราะของเราน้องแมว 3 ตัว และน้องหมา 2 ตัวและเราบินกลับมาคนเดียว พร้อมกับข้าวของที่ย้ายบ้านมา

พอทราบขั้นตอนเบื้องต้น เราเป็นห่วงเรื่องการเดินทางไกล และเรื่องกรงของสัตว์เลี้ยงมาก ที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงในไทยก็ไม่ค่อยมีกรงมาตราฐานเยอะ ต้องตระเวนหา เอายี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก IATA ว่าแข็งแรงพอ และเหมาะสมกับขนาดตัวสัตว์เลี้ยง กลัวอึดอัด เลยซื้อใหญ่กว่าข้อกำหนด 2 ไซส์ และซื้อเบาะปูที่นอนให้ในตัวแต่ละกรง

ทั้งนี้ กรงที่เหมาะสมคือ สัตว์เลี้ยงต้องสามารถยืนขึ้นและหูไม่ชนเพดาน สามารถกลับตัวได้ และมีที่ให้น้ำและอาหารเล็กน้อยข้างในกรง กรงต้องแข็งแรงและไม่หลุดออกมาได้ โดยเจ้าหน้าที่ที่สนามบินจะช่วยเช็กอีกทีตอนเช็กอิน

...

2. ตั๋วเครื่องบิน และสนามบิน

สายการบิน EVA Air พนักงานทุกคนบริการดีมากทุกครั้งและสามารถบอกกล่าวรายละเอียด ขั้นตอน ให้คำแนะนำ พร้อมทั้งส่งเอกสารทุกอย่างมาให้ทางอีเมล จากที่เราว่าเราหาข้อมูลแน่นแล้ว เลยทำให้เรามั่นใจขึ้นมาอีก และที่สำคัญ ทางสายการบินจำกัดในแต่ละไฟลท์ว่า ให้สัตว์เลี้ยงโหลดใต้ท้องเครื่องได้ไม่เกิน 5 ตัวต่อไฟลท์ แต่ไม่ได้กำหนดว่ากี่ตัวต่อผู้โดยสาร จึงรีบจองตั๋วให้สัตว์เลี้ยง กับของเราเอง โดยจอง ณ ขณะที่เจ้าหน้าที่แจ้ง พอได้ booking number กลับมา เจ้าหน้าที่จะถามรายละเอียดสัตว์เลี้ยงและจองตั๋วให้เลย ถ้ามัวแต่รออาจจะพลาด ต้องเปลี่ยนตั๋วไปมาอีก

สำหรับเรื่อง สนามบินที่จะมาลงสำคัญมาก ด่านแรกเลยต้องเช็กก่อนว่าจะเอาสัตว์เลี้ยงไปลงที่สนามบินไหนได้บ้าง ต้องไปลงสนามบินที่กำหนดไว้เท่านั้น


3. การตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน

ปกติแต่ละประเทศข้อกำหนดจะแตกต่างกัน ดีหน่อยที่ของอเมริกา กำหนดแค่เรื่องพิษสุนัขบ้า ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนทางยุโรป (สัตว์เลี้ยงต้องฉีดวัคซีนอย่างต่ำ 30 วันก่อนการเดินทาง) แต่เราขอคุณหมดให้ฉีดวัคซีน รวมอื่นๆ รวมไปถึงถ่ายพยาธิและป้องกันเห็บหมัดด้วย ในสมุดวัคซีนของน้องๆ คุณหมอต้องลงวันที่ที่ต้องฉีดวัคซีนครั้งหน้าด้วยนะคะ สำคัญมาก


4. การขอใบส่งออก ณ กรมปศุสัตว์ที่สุวรรณภูมิ

ก่อนการเดินทาง 3-7 วัน เราต้องไปที่ด่านกักกันสัตว์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนำเด็กไปตรวจร่างกาย ถ่ายรูป และเพื่อตรวจเอกสาร (ตั๋วเครื่องบิน ใบวัคซีน) และทำการถ่ายรูปพร้อมเจ้าของ เพื่อที่ทางเจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตส่งออกให้กับเรา

ตอนไปถึงเนื่องจากน้องหมาตื่นคน อุณหภูมิขึ้นสูงเกินกำหนด เจ้าหน้าที่เลยให้รอในห้องแอร์ ให้ดื่มน้ำเย็น พอสักชั่วโมง อุณหภูมิลดลงได้ระดับมาตรฐานเป๊ะ เลยไม่ต้องตรวจเลือดเพิ่มหรือกลับมาใหม่ค่ะ ใจหายใจคว่ำมาก แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนใจดี และสุภาพมากๆ ถึงมากที่สุด ประทับใจมาก

5. วันเดินทาง

เตรียมให้สัตว์เลี้ยงกินอาหารที่เค้าชอบในช่วงเช้าตรู่ เพื่อให้เค้าอิ่มท้องและขับถ่ายให้เรียบร้อย ระหว่างนี้เราพิมพ์ข้อความเป็นตัวใหญ่ๆ กระดาษ A4 แปะบนกรงแต่ละตัว ว่าแต่ละตัวมีนิสัยยังไงบ้าง (เช่น ขี้กลัว, ตื่นคน) เผื่อเค้าต้องนำสัตว์เลี้ยงออกมาจากกรง และเตรียมอาหารเปียกใส่ถุงซิปล็อกแปะด้านบนกรง เผื่อต้องให้อาหาร

จากนั้นต้องชำระเงินค่าตั๋วสัตว์เลี้ยง แนะนำว่าไปก่อนเวลาบินประมาณ 4 ชม. โดยเจ้าหน้าที่จะช่วยดูเอกสาร เพราะเยอะ กลัวจะผิดพลาด พอได้เวลาเจ้าหน้าที่จะมาเข็นรถเข็น เพื่อนำผ่านเครื่องสแกน และให้เราส่งสัตว์เลี้ยงจนลับตา

6. สนามบินในอเมริกา

พอผ่าน ตม. ถึงแม้เราจะถือฟอร์มแล้วระบุว่ามีสัตว์มาด้วย แต่แจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยก็ได้นะคะ พอเราผ่านออกมา ตรงสายพานกระเป๋าจะมีพนักงานสายการบินอยู่ เราก็เข้าไปถามเจ้าหน้าที่จะช่วยเราเข็นทั้งกระเป๋าและกรงห้ากรงออกมา ผ่านด่านตรวจข้างนอก เจ้าหน้าที่รับเอกสารไปดูและก็ทักทายน้องหมาเล็กน้อยแล้วก็ให้เราผ่าน ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที มาเจอสามีข้างนอก สามีต้องเช่ารถตู้แบบขนของมารับ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสัตว์เลี้ยงปรับตัวกันได้ดีมาก รู้สึกดีใจตื้นตัน เพราะถ้าพวกเค้ามาด้วยไม่ได้ เราก็คงไม่ย้ายมาที่นี้ บางตัวเลี้ยงมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตา ป้อนนมทุก 4 ชม. หิ้วใส่กระเป๋าไปทำงานด้วย ทุกวันนี้คุณภาพชีวิตน้องหมาก็ดีขึ้นมาก เพราะแม่ไม่ต้องรถติด มีเวลาพาไปเดินเล่น อากาศดี ธรรมชาติดี ทุกวันหยุดเราก็ไปหาที่ใหม่ๆ ที่พาเค้าไปด้วยได้ อาหารการกิน ของเล่น ขนมมีหลากหลายแบบให้เลือก.

(อ่านต้นฉบับ - คลิกที่นี่)

(ขอบคุณเฟซบุ๊ก Nattaphorn Albrecht)