กลายเป็นกระแสที่โซเชียลให้ความสนใจอย่างมาก กรณีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ "หนุ่มแว่นหัวร้อน" ขับรถเก๋งป้ายแดงชนรถกระบะ แต่ไม่สามารถเคลียร์กันได้ เนื่องจากหนุ่มแว่นลงมาโวยวาย ด่ากราด และไม่ยอมเรียกประกัน จนคลิปดังกล่าวถูกแชร์บนโลกออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งมีผู้ชมคลิปแล้วกว่า 17 ล้านครั้ง ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ขอไล่เรียงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยสรุปง่ายๆ ดังนี้

  • ช่วงสายวันที่ 23 ต.ค. 62 นายนันทวัฒน์ กมลรัมย์ หรือ "โต้ เจ็ทโด้" ขับรถกระบะไปส่งของบนถนนพุทธมณฑลสาย 4 เมื่อขับมาใกล้ถึงบริเวณจุดยูเทิร์นรถ ก็เห็นว่ารถเก๋งป้ายแดงค่อยๆ เคลื่อนตัวยูเทิร์น จึงกะพริบไฟเตือนไม่ให้รถเก๋งพุ่งออกมา ทำให้รถกระบะเฉี่ยวชนกับรถเก๋ง จนทะเบียนของรถเก๋งหลุด
  • เมื่อเดินไปหารถเก๋งคู่กรณี เพื่อสอบถามว่าได้รับความเสียหายอะไรบ้าง แต่กลับถูก "หนุ่มแว่นหัวร้อน" โวยวาย ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย นายโต้ จึงเดินไปเอามือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน เพื่อป้องกันเกิดเหตุรุนแรง
  • นายโต้ โพสต์คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวลงเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ได้มีชาวเน็ตเข้ามาดูคลิปดังกล่าว แล้ววิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของ หนุ่มแว่นหัวร้อน กันเป็นจำนวนมาก

...

  • ต่อมา บริษัทต้นสังกัด "หนุ่มแว่นหัวร้อน" ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้หนุ่มแว่นพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ซึ่งมีผลทันที
  • ยังไม่ทันข้ามวัน ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพรถเก๋งป้ายแดง อ้างว่ารถเก๋งคันนี้เป็นรถคันเดียวกับในคลิปชนรถกระบะ ได้ขับปาดหน้า ชูนิ้วกลางใส่ผู้โพสต์ตลอดเวลา 30 นาที ที่รถติดบนทางด่วน เนื่องจากรถเก๋งพยายามจะแทรกมาเลนขวาสุด พอเข้าไม่ได้ก็บีบแตรใส่แล้วโชว์นิ้วกลาง
  • พ่อของหนุ่มแว่น เผย ลูกชายเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ตอนนั้น ลูกชายเลี้ยวกลับรถมาแล้ว แต่รถกระบะไม่มีน้ำใจก็เสียบเข้ามา ทำให้รถเฉี่ยวกัน ลูกชายเสียดายรถ เพราะมันเป็นป้ายแดง จึงทำให้โมโหมาก เขาอัดอั้นเก็บกดมานานแล้ว เขาไปอยู่ต่างประเทศมา 20 ปี ไปตั้งแต่ 6 ขวบ ปกติเขาก็พูดดีไม่ได้มีอะไร และ น้องไม่ได้ป่วย
  • ตัวแทนจากบริษัทของ "นายโต้" ยืนยันว่า ไม่ได้ไล่นายโต้ออก เพราะน้องทำงานที่บริษัทนี้มา 3-4 ปีแล้ว น้องเป็นเด็กดี ไม่เกเร ขยันทำมาหากิน และเป็นที่รักของทุกคนในบริษัท ฉะนั้นบริษัทไม่มีทางไล่คนดีที่ตั้งใจทำมาหากินออกแน่นอน
  • นายนันทวัฒน์ หรือ "โต้" เปิดใจครั้งแรก หลังโดนด่าเหยียดหยามว่า พยายามทำใจเย็น ไม่โกรธ หรือตอบโต้รุนแรง แต่คู่กรณีก็ยังโวยวาย ส่วนแฟนสาวของคู่กรณีก็พยายามห้าม แต่คู่กรณีก็ยังไม่หยุด และพาลไปด่าคนอื่น รวมทั้งยังเอามือถือปาลงพื้น แล้วบังคับให้ก้มลงกราบเท้า แต่ตนไม่ทำตาม
  • เวลา 21.00 น. วันเดียวกัน "หนุ่มแว่นหัวร้อน" หิ้วถุงยาป่วย "ซึมเศร้า" เข้ารับทราบข้อหา "หมิ่นประมาทซึ่งหน้า" และ "ทำร้ายร่างกาย" ที่ สภ.พุทธมณฑล ภ.จว.นครปฐม
  • พ่อหนุ่มแว่นหัวร้อน รู้สึกไม่แฟร์ที่ลูกถูกให้ออกจากงาน หลังจากนี้คงจะเตือนลูกชายในเรื่องของการขับรถ ยอมรับว่าลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อยู่ระหว่างการรักษาตัวอยู่
  • กระทั่งเวลา 23.00 น. ประชาชนกว่า 500 คน มารวมตัวกันที่หน้าโรงพัก สภ.พุทธมณฑล ภ.จว.นครปฐม พร้อมตะโกนด่าทอเพราะไม่พอใจหนุ่มแว่นที่ดูถูกคนไทย ทำให้ต้องขอกำลังเสริมจากตำรวจภูธรภาค 7
  • ต่อมา แม่ของหนุ่มแว่น เล่าว่า วันเกิดเหตุครอบครัวจะพากันไปทำบุญที่วัด และต้องมีการจัดเตรียมสิ่งของ ทำให้ลูกชายไม่ได้กินยา และพักผ่อนน้อย จนเกิดเป็นความเครียดสะสม พร้อมกราบขอโทษสังคมอีกครั้งที่ไม่ได้ดูแลบุตรชายให้ดี
  • หนุ่มแว่น อธิบายว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากที่ตนเป็นคนรักรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงทำให้เกิดความเครียด ประกอบกับอาการป่วยที่เป็นอยู่ทำให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนเกิดเรื่องราวบานปลาย ขอโทษทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน
  • เช้าวันที่ 24 ต.ค. 62 ตำรวจควบคุมตัว "หนุ่มแว่น" ไปส่งศาลเปรียบเทียบปรับ
  • ล่าสุด นายราเชน ตระกูลเวียง ประธานสหพันธ์คนไทยปกป้องสถาบัน เข้าพบกองปราบ แจ้งความดำเนินคดีกับ "หนุ่มแว่นหัวร้อน" ข้อหาตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และหมิ่นประมาทคนไทยทั้งประเทศ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง