พระราชปณิธานในการสร้างโอกาสยกระดับชีวิตแก่เด็กไทย

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษา สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นเมื่อปี 2552 โดยทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีความประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง ต่อเนื่อง ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ตามความสามารถของแต่ละคน ต่อมาในปี 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)” โดยทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ และให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ

นับตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการจัดสรรทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ. แก่นักเรียนผู้ผ่านการคัดเลือก คัดสรรไปแล้วรวม 11 รุ่น จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวม 1,764 ราย รวมเป็นเงินทุนพระราชทานที่จัดสรรไปแล้ว จำนวน 461.74 ล้านบาท ทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ.เปรียบเสมือนแสงทองที่สาดส่องให้แก่เยาวชนไทยได้มีชีวิตที่สดใส มั่นคงทั้งด้านการศึกษา มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และทำงานก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและประเทศชาติ อย่างเช่น นายนิคม แก้วเจิม นักเรียนทุนพระราชทานฯ รุ่นที่ 1 ได้รับพระราชทานทุนการศึกษา ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จนจบปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ปัจจุบันอายุ 26 ปี ได้เข้ารับราชการเป็น “ครู” สอนวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป นักเรียน ม.1-ม.2 ร.ร.ปากท่อพิทยาคม จ.ราชบุรี

2 นักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. นายนิคม แก้วเจิม และ น.ส.สุภัทชา รอดเทศ.
2 นักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. นายนิคม แก้วเจิม และ น.ส.สุภัทชา รอดเทศ.

ครูนิคม แก้วเจิม ได้ย้อนเล่าว่า พ่อแม่ทำงานก่อสร้าง มีฐานะยากจน พอแม่ทำงานไม่ได้น้องชายคนกลางจึงออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัว ที่จริงที่บ้านก็ไม่ค่อยให้ตนเรียน แต่พอได้ทุนพระราชทานนี้ ชีวิตก็เหมือนได้เห็นแสงสว่างว่าตนจะมีโอกาสได้เรียนจนจบปริญญาตรี ตอนที่รู้ก็รู้สึกดีใจมาก ไม่อยากจะเชื่อ ครอบครัวดีใจมาก ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตเลย พอมาเป็นนักเรียนทุน ม.ท.ศ. ตนมีความตั้งใจมุ่งมั่นเล่าเรียน คิดว่าจะนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพดูแลครอบครัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ พร้อมอยากเอาความรู้มาเป็นประโยชน์แก่สังคม โดยเลือกเรียนครู เพื่อมาช่วยพัฒนาเยาวชน ส่งเสริมการให้ความรู้และโอกาสแก่คนอื่นๆ พร้อมน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อพวกเราว่า “เรียนดี ความรู้ การงานดี ชีวิตสดใส ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ” มาปฏิบัติด้วย

นอกจากนี้ยังมี นพ.วีรยุทธ จันทรเขียว นักเรียนทุนพระราชทานฯ รุ่นที่ 3 ที่ได้รับพระราชทานทุนการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จนจบปริญญาตรี สถาบันพระบรม ราชชนก สาขาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันรับราชการเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลนครสวรรค์ ได้บอกว่า การได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต จากที่อนาคตไม่ชัดเจนว่าจะได้เรียนต่อหรือไม่ เพราะครอบครัวมีปัญหาทางการเงิน แม้จะมีผลการเรียนที่ดี เมื่อได้รับพระราชทานทุนก็ได้เห็นอนาคตและโอกาสในการได้เรียนต่อตามกำลังความสามารถของตัวเอง การเรียนชั้นปริญญาตรีและการเรียนแพทย์ ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง เมื่อได้รับทุนทำให้ตนไม่ต้องมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้ มีความมุ่งมั่นไปกับการเรียน มีความตั้งใจที่เรียนจนสำเร็จ และกลับมาทำงานที่บ้านเกิด พร้อมตั้งปณิธานว่า จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ช่วยเหลือประชาชนให้มาก

ด้าน น.ส.สุภัทชา รอดเทศ นักเรียนทุนพระราชทานฯ รุ่นที่ 11 ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.5 ร.ร.กรับใหญ่ว่องกุศลกิจพิทยาคม จ.ราชบุรี เล่าว่า พ่อแม่เป็นเกษตรกร พ่อมีโรคประจำตัวทำให้ทำงานหนักมากไม่ได้ มีรายได้ที่ไม่แน่นอน พอรู้ว่าได้รับพระราชทานทุนการศึกษา ดีใจทั้งครอบครัว ร้องไห้กันเลย ตนรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ถือเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตที่น้อยคนจะได้รับ ตนจึงมีความตั้งใจ เมื่อเราเป็นลูกเกษตรกร จึงอยากเป็นนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร อยากนำวิชาความรู้มาช่วยเหลือเกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตั้งใจจะเรียนให้จบปริญญาตรี แล้วจะทำประโยชน์ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ อยากเห็นเกษตรกรพึ่งพาตนเองได้ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและลดการใช้สารเคมี ที่จะส่งผลแก่ผู้บริโภคในระยะยาว.