มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะยืนยันว่า คนอินเดียเมื่อราว พ.ศ.200 นับถือพระอิศวร และพระนารายณ์ ส่วนพระพรหมนั้น นับถือกันมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว
(วิสุทธิ์นิพนธ์ รวมงานเขียนอาจารย์ วิสุทธิ์ บุษยกุล สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ พ.ศ.2520)
คัมภีร์ปุราณะมีหลายฉบับ บางฉบับนับถือพระอิศวร บางฉบับก็นับถือพระนารายณ์ แต่ฉบับหนึ่งออกไปทางสมานฉันท์ รวมพระพรหมเข้าไป นับถือทั้งสามพระองค์ แบ่งหน้าที่เป็นเทวะผู้สร้าง เทวะผู้รักษา และเทวะผู้ทำลาย
เมื่อพระพรหมเทพเจ้าผู้สร้าง สร้างโลก ทวยเทพ คน และสัตว์แล้ว ก็เป็นอันหมดหน้าที่ จนกว่าโลกจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ พระนารายณ์ เทวะผู้รักษาก็จะอวตารมาปัดเป่า
อาจารย์วิสุทธิ์ ดูจะตั้งใจเล่าเรื่องพระนารายณ์...ท่านเล่าว่า เดิมทีพระนารายณ์มีนามว่า “วิษณุ” หรือ “พิษณุ” มาเปลี่ยนเป็น “นารายณ์” ในระยะหลัง
ตามรูปเขียน พระนารายณ์เป็นบุรุษหนุ่ม กายสีนิลแก่ สวมเครื่องอย่างกษัตริย์ เสื้อทรงสีเหลือง มีสี่กร ทรงอาวุธสี่...ตรี คชา จักร และสังข์ นานๆเข้าก็ทรงเบื่อ เปลี่ยนเป็น ธนู ดอกบัว และพระขรรค์บ้างตามพระอัธยาศัย
ไม่เพียงเปลี่ยนอาวุธ...สีกายพระนารายณ์ก็เปลี่ยน ในกฤตยุค ยุคแรกของโลก คุณธรรมความดีของคนมีเต็มเปี่ยม สีกายพระนารายณ์สีขาว ยุคที่สอง ไตรดายุค ธรรมะและคุณธรรมมนุษย์เหลือสามในสี่ สีกายพระนารายณ์สีแดง
ยุคที่สาม ทวาปรยุค คุณธรรมมนุษย์เหลือครึ่งเดียว สีกายเป็นสีเหลือง
ปัจจุบัน อยู่ในยุคที่สี่ กลียุค คุณธรรมมนุษย์ลดลงเหลือหนึ่งในสี่ สีกายพระนารายณ์ เปลี่ยนเป็นสีนิลแก่
ปางอวตารพระนารายณ์มีมาก แต่ที่นิยมกันมีเพียงสิบปาง ปาง 1 เป็นปลา ปาง 2 เป็นเต่า ปาง 3 เป็นหมู ปาง 4 เป็นนรสิงห์ ปาง 5 เป็นคนแคระ ปาง 6 เป็นปรศุราม
...
ตั้งแต่ปางที่ 1 ถึงปางที่ 5 คนไทยคุ้นน้อยกว่าปางที่ 7 รามาวตาร พระนารายณ์อวตารเป็นพระราม ปราบทศกัณฐ์ ในเรื่องรามเกียรติ์ ปางที่ 8 กฤษณาวตาร อวตารเป็นพระกฤษณะ ปราบพญากงส์หรือพาณาสูร
ปางนี้คนอินเดียชอบมาก ตอนที่กล่าวถึงความรัก ระหว่างพระกฤษะและหญิงเลี้ยงวัวชื่อนางราธา
ปางที่ 9 พุทธวตาร ชาวฮินดูอาจเห็นว่า ศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรือง จึงผูกเรื่องว่า พระนารายณ์อวตารเป็นพระพุทธเจ้า ลวงให้คนเลวหลงเชื่อเพื่อให้คนเลวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ส่วนชาวฮินดูที่ไม่หลงเชื่อพระพุทธเจ้า คือชาวฮินดูแท้ จะได้ขึ้นสวรรค์
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร...เมื่อความเลวทรามต่ำช้า อย่างในกลียุคนี้สิ้นสุดในโลกแล้ว พระนารายณ์อวตารเป็นมหาบุรุษ มาช่วยบันดาลให้โลกสงบสุข
ระหว่างที่รอ...พระนารายณ์มาโปรด ควรทำความรู้จักเจ้านายใหม่ เอาเรื่องหลังบ้านพระนารายณ์ก่อน คัมภีร์บางเล่มบอกว่า ทรงมีมเหสีถึงสามองค์ พระลักษมี พระสรัสวดี และพระคงคา
แม้โบราณว่า เมียสองต้องห้าม เมียสามงามกว่า ก็เชื่อไม่ได้ เพราะมเหสีทั้งสามนั้น ต่างก็มีทิฐิไม่ยอมอ่อนน้อมต่อกัน
(นี่อาจเป็นที่มา ทำให้ต้องทรงเปลี่ยนจากวิมานบนฟ้า เสด็จไปสงบใจ ในพระที่นั่งไวกูณฐ์ กลางเกษียรสมุทร นอนกระดิกพระบาทเล่นในน้ำ ชื่อวิษณุ เปลี่ยนเป็นนารายณ์ น่าจะได้จากตอนนี้)
ระหว่างที่ทรงนอนกระดิกพระบาทในน้ำล่ะกระมัง จึงทรงได้พระสติ...ตัดสินพระทัย ยกพระสรัสวดี ให้เป็นชายาพระพรหม ยกพระคงคา ให้เป็นชายาพระอิศวร
จึงทรงเหลือพระลักษมี เป็นมเหสีพระองค์เดียว
นับแต่นั้น เรื่องร้อนหูร้อนใจที่เกิดขึ้นในวิมานก็หมดไป ทรงอยู่กับพระลักษมีเป็นสุขด้วยกันเรื่อยมา
อ่านตามคัมภีร์ก็พอเห็นภาพ ตอนนี้พระนารายณ์กำลังทรงนอนพักชาร์จพระพลัง...รอเวลาสิ้นกลียุค ก็จะเสด็จมาโปรด เพื่อให้โลกสงบเย็นเป็นนิรันดร์ ในวันข้างหน้า...ซึ่งยังไม่รู้ว่านานแค่ไหน
ข้อที่ต้องย้ำให้ชัดๆ ตอนนี่เรายังอยู่ใน “กลียุค” ปางกัลกยาวตาร เป็นปางที่ยังมาไม่ถึง
จึงพอจะยืนยันได้ ใครที่ถือดาบขาววาววับขี่ม้าขาวมา ประกาศว่าจะมากอบกู้แผ่นดิน...เอ๊ย โลกนั้น...ยังไม่ใช่พระนารายณ์อวตารตัวจริง.
กิเลน ประลองเชิง