ศาลรับฟ้องคดีข้าว นัดพิจารณา 19 พ.ค.
“ยิ่งลักษณ์” ระทึก ศาลฎีกาฯประทับฟ้อง คดีจำนำข้าว นัดพิจารณาครั้งแรก 19 พ.ค. อัยการขู่ไม่มาศาลอาจเจอหมายจับ วางพยาน 13 ปากมัดเชื่อดิ้นไม่หลุด “ปู” ย้ำทำหน้าที่ซื่อสัตย์ตามฉันทามติ ซัด ป.ป.ช. ไร้หลักนิติธรรม แถมเร่งรีบผิดปกติ ขอโอกาสต่อสู้เต็มที่ในชั้นศาลโดยปราศจากอคติ เชื่อเป็นเกมทำลายทางการเมือง วอนทุกฝ่ายหยุดกดดัน-ชี้นำ เผย “พี่แม้ว” โทร.ให้กำลังใจตลอด “บิ๊กตู่” โชว์ลีลาเด็ดดอกไม้เหี่ยวแฝงนัย โบ้ยจะไปนอกต้องขอศาล “บิ๊กป๊อก” ยันไม่มีกลั่นแกล้ง “ไก่อู” เหน็บคงไม่คิดหนีคดี “เทียนฉาย” ไขลาน สปช.เร่งปั๊มผลงานตีคู่ กมธ.ยกร่างฯ “วิษณุ” ยันนิรโทษต้องเสนอนายกฯ “บิ๊กป้อม” ชี้ถ้าทุกฝ่ายยอมก็ทำได้ “ปนัดดา” บอกคนไทยให้อภัยกันเป็นเรื่องดีงาม “ศรีสุวรรณ” จ่อยื่น ป.ป.ช. สอบ 12 สปช.ตั้งเครือญาติ
คดีรับจำนำข้าวที่สังคมเฝ้าจับตามองมาตลอด ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง มีคำสั่งประทับฟ้องคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีละเลยไม่ระงับยับยั้งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
ศาลฎีกาฯประทับฟ้องจำนำข้าว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 มี.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนน แจ้งวัฒนะ ศาลฎีกาฯนัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ อม. 22/2558 ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และความ ผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ก่อนมีคำสั่งองค์คณะมีมติเลือก นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวน
...
นัดพิจารณาคดีครั้งแรก 19 พ.ค.
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายวีระพล พร้อมองค์ คณะทั้ง 9 อ่านคำสั่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ ตามมาตรา 9 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคำฟ้องโจทก์ถูกต้องตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ ข้อ 8 จึงให้ประทับฟ้องคดีไว้ และนัดพิจารณาคดีครั้งแรก วันที่ 19 พ.ค. เวลา 09.30 น. โดยให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย และให้โจทก์หรือผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายภายใน 7 วัน หากการส่งหมายไม่พบจำเลยหรือไม่มีผู้รับแทนโดยชอบให้ปิดหมายแทน
อัยการใช้พยาน 13 ปากมัด “ปู”
จากนั้น นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกัน แถลงข่าวภายหลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้อง โดยนายสุรศักดิ์กล่าวว่า อัยการโจทก์เตรียมพยานบุคคลไว้ 13 ปาก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุต่างๆ แผ่นซีดี ที่ระบุไว้ในการจัดทำบัญชีพยาน เพื่อให้ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่รับฟังได้เป็นที่ยุติว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องอย่างไรบ้าง และเพื่อยืนยันการได้มาซึ่งเอกสารราชการต่างๆ รวมทั้งประเด็นในข้อ กฎหมายว่าจำเลยมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ขณะนี้พยานหลักฐานฝ่ายโจทก์น่าจะเพียงพอแล้ว มั่นใจว่าหลักฐานครบถ้วนทุกประเด็นตามที่ทางอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง เพื่อให้ศาลฯรับฟังเป็นที่ยุติได้ ส่วนจะสามารถเอาผิดลงโทษจำเลยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ขู่ไม่มารายงานตัวอาจเจอหมายจับ
นายสุรศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 19 พ.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลยจะ ต้องเดินทางมารายงานตัวต่อศาลด้วยตัวเอง อัยการได้ประสานเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อส่งหมายแจ้งให้จำเลยรับทราบตามแหล่งที่อยู่ในคำฟ้อง แม้ว่าจำเลยจะไม่อยู่สามารถปิดหมายได้ ให้ถือว่าจำเลยรับทราบแล้ว แต่หากจำเลยไม่มารายงานตัวในวันดังกล่าว ศาลฯอาจออกหมายจับได้ สำหรับขั้นตอนวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลจะอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยเข้าใจ และสอบถามจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธอย่างไร รวมทั้งศาลจะมีคำสั่งในเรื่องการขอปล่อยชั่วคราว จากนั้นจะกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายต้องยื่นบัญชีพยานว่ามีจำนวนกี่ปาก สืบประเด็นไหนและ อะไรบ้าง ก่อนกำหนดวันนัดไต่สวนพยาน ศาลฎีกาฯมีอำนาจนัดพิจารณาลับหลังจำเลยได้ ส่วนตัวจำเลยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลในวันนัดไต่สวนพยาน
ยังเชื่อมาสู้คดีชั้นศาลตามนัด
นายสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการขอเดิน ทางออกนอกประเทศอยู่ในการพิจารณาของศาล แต่อัยการเชื่อว่าจำเลยน่าจะเดินทางมาศาลตามนัด ทั้งนี้ หากศาลสอบถามอัยการโจทก์ในเรื่องการขอปล่อยชั่วคราวจำเลย ต้องดูข้อเท็จจริงในขณะนั้นก่อนแถลงต่อศาลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยไปแล้ว แต่หากภายหลังพบว่าจำเลยมีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน หรือมีพฤติการณ์หลบหนี ทางอัยการสามารถยื่นคำร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราวได้เช่นกัน เมื่อถามว่า อัยการจะมีการขอคุ้มครองพยานในคดีนี้หรือไม่ นายสุรศักดิ์ตอบว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานถึงการข่มขู่คุกคามพยานแต่อย่างใด
“ปู” ย้ำซื่อสัตย์รับใช้ประชาชน
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ลงเฟซบุ๊กภายหลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้องคดีรับจำนำข้าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ดิฉันทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้พี่น้องประชาชนตามที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างครบถ้วนถูกต้อง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ต้องการเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่ชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด
ยันจำนำข้าวเป็นฉันทามติ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่กล่าวหาดิฉัน ถือเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ อันเป็นนโยบายที่ประชาชนมอบความไว้วางใจตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยให้ดิฉันมาดำเนินการ และเมื่อมีการเสนอนโยบายดังกล่าวต่อประชาชนและเกิดเป็น “ฉันทามติ” ของประชาชน ที่ต้องการให้ “กลไกตลาด” เป็นธรรม สะท้อนความเป็นจริงและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา เพราะที่ผ่านมาชาวนาเป็นผู้ผลิตไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองในตลาดได้ การกำหนดราคาตกอยู่ในมือผู้ซื้อโดยสิ้นเชิง คดีนี้จึงเป็นคดีที่จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีผลต่อบรรทัดฐานและการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนในอนาคต
โอดเร่งรีบผิดปกติ–ไร้นิติธรรม
อดีตนายกฯระบุอีกว่า ขอตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ “หลักนิติธรรม” ที่พึงต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาเพื่ออำนวยความยุติธรรมนั้น ได้ขาดหายไปในคดีที่เกี่ยวกับตัวดิฉัน เห็นได้จากรายงานและสำนวนคดีพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ระบุอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีพยานหลักฐานว่าดิฉันกระทำการทุจริตหรือสมยอมให้ผู้ใดทุจริต” แต่ก็มีการชี้มูลความผิด และก่อนหน้าที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี อัยการสูงสุดได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ของคดีนี้หลายเรื่อง แต่ต่อมาอัยการกลับเร่งรีบที่จะส่งฟ้อง ทั้งที่ยังไม่ได้สืบพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นก่อน แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นไปตามกระบวนการปกติ ที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา
ขอโอกาสต่อสู้เต็มที่ในชั้นศาล
“แม้ศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้ ดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์และเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน ที่จะนำมาพิสูจน์ความจริงต่อศาลว่ามิได้กระทำความผิดใดทั้งสิ้น เพียงหวังว่าการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาฯ ดิฉันจะมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และมีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ ที่สำคัญขอให้มีการพิจารณาอย่างถูกต้อง โปร่งใสและ เป็นธรรม ปราศจากอคติใดๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดิฉันเห็นว่ายังไม่ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในชั้นที่ถูกกล่าวหา และมีวัตถุประสงค์ทาง การเมืองที่จะทำลายดิฉันเข้ามาแทรกซ้อนโดยตลอด สุดท้ายนี้ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้โปรดยุติการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หยุดกดดันหรือชี้นำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯจะเสร็จสิ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมไทยต่อไป” น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุ
ทนายยัน 19 พ.ค.ไปศาลแน่
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้องคดีว่า เมื่อศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องแล้วก็ถือว่าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอย่างเต็มที่ จากนี้ทีมทนายความต้องรอสำนวนคำฟ้องจากศาล ฎีกาฯก่อน แล้วจะนัดหารือถึงแนวทางการต่อสู้คดีต่อไป สำหรับวันที่ 19 พ.ค. ที่ศาลฎีกาฯนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลยนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปยังศาลฎีกาฯอย่างแน่นอน ส่วนที่อัยการระบุเตรียมพยานไว้นำสืบ 13 ปากนั้น ต้องดูก่อนว่าคำฟ้องของอัยการบรรยายพฤติการณ์กล่าวหาอย่างไรบ้าง ทีมทนายความจึงจะประชุมหารือกำหนดพยานบุคคลอีกครั้งว่าจะมีใครบ้าง และยังไม่ได้หารือกันถึงการเตรียมหลักทรัพย์เพื่อใช้ประกันตัว เพราะเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดว่าตีราคาประกันเท่าใด
เผย “พี่แม้ว” โทร.ให้กำลังใจตลอด
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศย่านวิภาวดี โดยช่วงที่ศาลฎีกาฯพิจารณาประทับฟ้องคดีรับจำนำข้าวก็ไม่ได้มีท่าทีรู้สึกตกใจหรือตื่นเต้น โดยคนใกล้ชิดระบุว่าเป็นไปตามคาดการณ์ตั้งแต่ต้น และตลอดระยะเวลาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องต่อสู้คดีทั้งในขั้นตอนของ ป.ป.ช. สนช. หรือศาลยุติธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจตลอด ส่วนใหญ่จะพูดกันด้วยภาษาเหนือ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์วางแผนจะตระเวนทำบุญตามวัดต่างๆ ในช่วงเดือนหน้า และจะเดินทางกลับบ้านไปพักผ่อนที่ จ.เชียงใหม่ อยู่เรื่อยๆ เนื่องจากไปแล้ว รู้สึกสบายใจ มีประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
“บิ๊กตู่” โบ้ยไปนอกต้องขอศาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ ภายหลังที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีรับจำนำข้าวว่า “เดี๋ยวไปถามศาล มันเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม รอให้เขารายงานมาก่อน”
โชว์ลีลาเด็ดดอกไม้เหี่ยวแฝงนัย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังให้สัมภาษณ์เสร็จ ระหว่างเดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ได้หยุดเดินและเด็ดดอกพุดซ้อนในกระถางที่วางอยู่เชิงบันไดดอกหนึ่งที่เริ่มโรยรา พร้อมกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ดอกที่เหี่ยวๆ ต้องเด็ดทิ้งไปบ้าง ต้นไม้เราต้องดูมันทุกวัน ดอกมันเก่าแล้วอย่าไปสนใจ ดอกไม้นี้เรียกว่าดอกพุด บ้านเราเอาไว้ไหว้พระ ส่วนของฝรั่งเขาก็มีพวกดอกคาร์เนชั่น เอาไว้จีบกัน” จากนั้นจึงเด็ดดอกพุดซ้อนดอกใหม่ที่บานสะพรั่งมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไป
“บิ๊กป๊อก” ยันยึด ก.ม.ไม่กลั่นแกล้ง
ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า บางส่วน อาจกังวลว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่ทุกคนในประเทศนี้อยู่บนหลักของกฎหมาย อย่าไปคิดว่ากลั่นแกล้งหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ใครทำอะไรที่ไม่ถูกก็ต้องไปอยู่ในกระบวนการกฎหมาย คนที่อยู่ไกลไม่รู้ก็ถามกันต่อๆไปว่ากลั่นแกล้ง เป็นเรื่องทางการเมือง ขอให้อยู่ในเรื่องใครทำอะไรก็ต้องรับ ผิดชอบ แม้กระทั่งตนเองถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินคดีเช่นกัน ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ถ้าทุจริตก็ต้องดำเนินคดีไป ประชาชนก็จะเข้าใจ
“ไก่อู” เหน็บคงไม่คิดหนีเหมือนพี่
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์มาตลอดว่ามั่นใจว่าการดำเนินนโยบายกรณีจำนำข้าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นจึงควรมาแถลงเปิดคดีด้วยตนเองเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และเพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีดำเนินต่อไปได้ มั่นใจว่าศาลจะพิจารณาวินิจฉัยบนพื้นฐานของหลักการและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม เมื่อมีคำพิพากษาเช่นไร ก็ถือเป็นที่สิ้นสุด และทุกฝ่ายต้องน้อมรับคำวินิจฉัย ยังเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์น่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เลือกที่จะหลบหนีในชั้นศาลเหมือนนักการเมืองหลายคนในอดีต