"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลั่นต่อสู้ถึงที่สุด ชี้เป็นไปตามคาดหมาย หลัง สนช. มีมติถอดถอน มั่นใจบริสุทธิ์ จำนำข้าวไม่สร้างความเสียหาย

วันที่ 23 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ย่ิงลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอน 190 : 18 เสียง ว่า 

"เรียนพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน เป็นไปตามความคาดหมาย ที่ สนช.ได้มีมติ ถอดถอนดิฉันออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องดิฉัน ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ดิฉันขอแถลง ดังนี้

ดิฉันขอยืนยันและมั่นใจในความบริสุทธิ์ของดิฉัน และขอขอบคุณเสียงส่วนน้อย ที่ยังคงยึดมั่นในหลักการและความเที่ยงธรรม ซึ่งในกระบวนการต่างๆ ได้ลิดรอนและตัดสิทธิขั้นพื้นฐานของดิฉัน ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่พึงได้รับ

ดิฉันขอยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี ไม่ได้สร้างความเสียหายแต่อย่างใด สำหรับตัวเลขความเสียหายที่พยายามจะยัดเยียดให้ดิฉันนั้น ก็เป็นเพราะความมีอคติต่อตัวดิฉัน และนำชาวนามาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง

ดังที่ดิฉันได้เคยกล่าวถึงความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2556 ณ เมืองอูลัน บาตอ ประเทศมองโกเลีย ว่า ดิฉันนั้นต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศไทย และประชาธิปไตยของไทย พัฒนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยหลักนิติธรรม และกระบวนการทางกฎหมายที่แข็งแรง มีขั้นตอนที่ชัดเจน โปร่งใส และเมื่อนั้นทุกคนจะสามารถมั่นใจได้ว่า เขาจะได้รับการดูแลที่ยุติธรรม

ดิฉันยังคงยืนยัน ในคำพูดดังกล่าว แม้ว่าวันนี้ประชาธิปไตยไทยได้ตายไปแล้ว พร้อมกับหลักนิติธรรม แต่ขบวนการทำลายล้างยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังที่ดิฉันได้ประสบอยู่ขณะนี้

...

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียใจ และเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อว่า มีเหตุการณ์บังเอิญต่างๆ มากมาย ตามที่ดิฉันได้แถลงปิดสำนวนไปเมื่อวานนี้ และเป็นการบังเอิญที่ไม่ใช่ความบังเอิญ อีกครั้งหนึ่ง คือ ก่อนเวลาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะเริ่มลงมติถอดถอนเพียง 1 ชั่วโมง อัยการสูงสุดก็ได้แถลงสั่งฟ้องดิฉัน ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก่อให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆ ที่หัวหน้าคณะผู้แทนอัยการสูงสุด ยืนยันว่า ยังต้องพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ของคดีต่อไป องค์กรอัยการ ซึ่งเป็นองค์กรที่สร้างความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมมายาวนาน กลับต้องถูกตั้งข้อสงสัยในประเด็นนี้ค่ะ

ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของดิฉัน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตลอดระยะเวลา 2 ปี 9 เดือน 2 วันนั้น ดิฉันตั้งใจทำงานด้วยความทุ่มเทที่จะแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไม่เลือกปฏิบัติ และดิฉันภูมิใจที่ช่วงหนึ่งในชีวิต ได้ทำให้พี่น้องชาวนาและคนยากจน ได้ลืมตาอ้าปาก และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แม้ในวันนี้ ดิฉันไม่มีตำแหน่งอะไรเหลืออยู่แล้ว ยังคงเหลือแต่คดีความ ที่ถูกยัดเยียดไว้ให้ ที่ต้องไปสู้คดีในชั้นศาลต่อไป

คำว่า ความปรองดอง จะเกิดขึ้นได้ ต้องไม่ใช่การไล่ล่าคนใดคนหนึ่ง แต่หมายถึงความเป็นกลาง ที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย เมื่อความเป็นธรรมเกิด ความยุติธรรมก็จะตามมา การยอมรับ ความสงบ ความสามัคคีก็จะมีขึ้นในสังคมไทย เพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกัน แทนที่เราจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วร่วมกันทำให้ประเทศของเราเข้มแข็ง แต่กลับสร้างความจงเกลียดจงชังให้แก่กัน ไล่ล่าเพื่อให้ไม่มีที่ยืน สุดท้ายคนที่เสียหายก็คือประเทศของเรา

ดิฉันรันทดใจ ไม่ใช่เพราะดิฉันถูกกลั่นแกล้ง และประสบชะตากรรมที่ไม่เป็นธรรม แต่ดิฉันเสียใจแทนชาวนา และประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ต้องสูญเสียโอกาส ต้องกลับไปอยู่ในวังวนของความยากจน มีหนี้สิน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และสูญเสียความเป็นประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน ตลอดจนกฎหมายถูกบิดเบือน

สุดท้ายนี้ ดิฉันก็หวังว่าผู้ที่เป็นฝ่ายอำนวยความยุติธรรมของประเทศ จะไม่ปล่อยให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่รักษากติกาประชาธิปไตย และไม่รักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม มาชี้นำใดใดอีก ดังที่มีนักวิชาการกล่าวว่า “ไม่มียิ่งลักษณ์ คนไทยยังอยู่กันได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่ ในระบบการปกครองของไทยแล้ว คงไม่มีใครอยู่ได้”

อย่างไรก็ตาม ดิฉันขอยืนยันว่า ดิฉันจะต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของดิฉันไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญ คือ ดิฉันจะขอยืนหยัด อยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทย เราต้องร่วมกันนำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของเรากลับคืนมา และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแท้จริง"