ข่าว “น้องแก้ม” นักเรียนมัธยมต้น อายุ 13 ปี ถูกพนักงานการรถไฟฯฆ่าข่มขืน และโยนร่างทิ้งทางหน้าต่างรถไฟ ทั้งๆที่ยังมีลมหายใจอยู่ เหตุเกิดในขณะที่โดยสารรถเร็ว จากสุราษฎร์ธานีเข้า กทม. กลายเป็นข่าวสะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ เป็นภาพสะท้อนสังคมและการเมืองไทย รวมทั้งการขาดความรับผิดชอบ ในการ บริหารรัฐกิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

พฤติการณ์ของผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ แสดงถึงความเป็นผู้ที่มีจิตใจอำมหิต เพราะมุ่งข่มขืนและฆ่าให้ตายสถานเดียว เป็นเหตุสยองขวัญที่เกิดขึ้นบนรถไฟของรัฐ ที่บริหารและดูแลโดยคนของรัฐ ประชาชนทั่วไปจึงเชื่อถือในความปลอดภัยมากที่สุด แต่พนักงานผู้มีหน้าที่ดูแลผู้โดยสาร กลับกลายเป็นผู้ก่อเหตุเสียเอง

แต่ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุดของการรถไฟฯ กลับแสดงท่าทีที่ไม่รับผิดชอบ โดยอ้างว่าผู้ต้องหาไม่ใช่พนักงานของ รฟท. และเพิ่ง จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นในรอบ 117 ปี แต่เป็นคำกล่าวที่ไม่จริงทั้งสองเรื่อง เพราะผู้ต้องหาเป็นพนักงาน รฟท.จริง และเคยมีหญิงสาวถูกพนักงาน รฟท.ข่มขืนเมื่อปี 2544

หญิงสาวปริญญาโทส่งจดหมายเปิดผนึก เปิดเผยเองว่า เหตุเกิดเมื่อ 13 ปี มาแล้ว แม้เธอจะไม่ต้องเสียชีวิตเหมือนกับน้องแก้ม แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น ศาลพิพากษา ให้จำคุกพนักงาน รฟท.ผู้เป็นจำเลย 9 ปี ส่วนคดีแพ่ง สองศาลยืนยันให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 5 ล้านบาท แต่ รฟท.ไม่ยอมจ่าย และยื่นฎีกา คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด

เหตุที่การรถไฟฯไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ยื่นฎีกาต่อจนคดียืดเยื้อมาถึง 13 ปี อ้างว่าเป็นนโยบาย ต้องถือว่าเป็นนโยบายที่น่าอดสู เพราะแสดงว่าพร้อมที่จะปัดความรับผิดชอบในทุกเรื่อง ส่วนการรักษาความปลอดภัยบนรถไฟ ก็หละหลวม ปล่อยให้ดื่มสุราขณะปฏิบัติหน้าที่ และไม่ตรวจสอบประวัติพนักงาน

...

เสียงเรียกร้องให้ผู้ว่าการการรถไฟฯลาออก จึงดังกึกก้องจากทั่วสารทิศ แต่ได้รับคำตอบว่า หากลาออก จะแก้ปัญหาได้หรือ? อาจถูกมองว่าหนีปัญหา จึงขออยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหา การลาออกของผู้บริหารการรถไฟฯ อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาความปลอดภัยบนรถไฟ แต่จะส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลในการบริหาร นั่นก็คือการแสดงความรับผิดชอบ

ถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุด ปัญหาต่างๆสามารถโยงไปถึงระบบการเมืองของประเทศ เพราะพรรคการเมืองไทยชอบส่งพรรคพวกไปเป็นผู้บริหาร ในรัฐวิสาหกิจต่างๆโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ นอกจากความเป็นพรรคพวก ตามหลักอิทัปปัจจยตาของพระพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่า เพราะการเมืองไทยเป็นอย่างนี้ จึงมีเรื่องราวอย่างนี้.