แสงแรกของดวงอาทิตย์ เช้าตรู่วันที่ 1 มกราคม ให้ความรู้สึกสว่างไสวกว่าทุกวัน กระตุ้นอารมณ์แห่งการเริ่มต้นชีวิต ประเดิมศักราชใหม่

ปฏิทินเริ่มต้นหน้าแรกของปีพุทธศักราช 2568

จังหวะออกตัว ณ จุดสตาร์ต ธรรมเนียมปฏิบัติของพลเมืองชาวโลก รวมทั้งประชาชนคนไทย จะได้ใช้โอกาสวันขึ้นปีใหม่ รวบรวมสติ ปลุกพลังกาย กระตุ้นพลังใจ พร้อมเผชิญวิถีชีวิตในอีก 365 วันข้างหน้า

ทั้งเรื่องดี ทั้งสถานการณ์ร้าย คละเคล้ากันไป

“ทีมการเมืองไทยรัฐ” จะได้ประเมินความเป็นไป โดยเฉพาะในแง่มุมของเกมอำนาจทางการเมือง ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่โยงต่อเนื่องมาจากปีเก่า และเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นตามเงื่อนเวลาผันผ่าน

เข้าสู่ปีมะเส็ง “งูเล็ก” แต่พิษสงร้ายกาจ ประมาทไม่ได้เด็ดขาด

โดยพุ่งโฟกัสไปที่ศูนย์กลางอำนาจ รัฐบาลผสมเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้องแบกภารกิจใหญ่หลวงเกินวัย เกินมือ เกินกำลัง ในฐานะผู้กุมอำนาจ นำคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน

ผู้นำด้อยประสบการณ์ แต่ได้สิทธิพิเศษตรงที่มี “ผู้ครอบครอง” คอยกำกับเกม มีตัวช่วยอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในตำนาน แฝงเป็นเงาทาบร่างลูกสาวคนสุดท้อง ประคองเกมอำนาจ

ท้าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ “ครอบงำ” สังคมจำใจไฟต์บังคับการเมืองลักลั่นแบบไทยๆ

ตามสภาพโจทย์ร้อนตรงหน้า ผู้นำ รัฐบาลผสมต้องเผชิญด่านโหดรับศักราชใหม่ กับมหาภัยฝุ่นควันพิษ PM2.5 ที่เป็นวิกฤติประจำฤดู สถิติย้อนหลังวิกฤติหนักหนาสาหัสในช่วงต้นปี

หนีไม่พ้น “จุดแดงเถือก” ครอบคลุมประเทศไทย

พื้นที่ภาคเหนือต้องเจอกับควันจากไฟป่า ผสมกับควันเผาพื้นที่ทำไร่ที่ลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้าน กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคกลาง จังหวัดหัวเมืองใหญ่ โดนฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ โรงงาน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ อากาศปิด เรือนกระจกปกคลุม เหมือนโดนฝาชีครอบ

...

สภาพกดดัน ชาวบ้านสำลักฝุ่น รัฐบาลสำลักเสียงด่า ประชาชนต้องผจญมฤตยูอันตรายต่อร่างกาย โรคระบบทางเดินหายใจ เสี่ยงโรคร้ายมะเร็งปอด มีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กเล็ก

ฝุ่นกระทบสุขภาพประชาชน ไม่เป็นผลดีต่อสถานภาพรัฐบาล

โดยสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ จะไหลรวมเป็นฝุ่นการเมือง ตามท้องเรื่องผูกโยงกับสภาพเศรษฐกิจปากท้อง หลังจบงานฉลอง หมดเทศกาลแห่งความสุข กลับสู่การเผชิญทุกข์ ประชาชนควักกระเป๋าสตางค์ ควานหาเงินแทบไม่เจอ

ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องระวังการใช้จ่ายใน 365 วันนับจากนี้ไป

วิกฤติเศรษฐกิจยังไม่เห็นแสงสว่าง ปัจจัยบวกน้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจัยลบ โดยเฉพาะการกลับมาของ “คาวบอย” โดนัลด์ ทรัมป์ จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป

สไตล์ “ตัวตึง” จับทางลำบาก นโยบายตั้งกำแพงภาษีเปิดสงครามการค้ากับพญามังกรจีน คงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ความเสียหายระนาบเดียวกับสงครามโลก

ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกอย่างประเทศไทยคงหนีไม่พ้นแรงตกกระทบ

อยู่ที่จะแปลงวิกฤติเป็นโอกาส หรือจะทิ้งโอกาสให้ยิ่งวิกฤติหนัก จากความสลับซับ ซ้อนของโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปตามโลกยุคใหม่ ในขณะที่บ้านเมืองเราถูกจัดให้อยู่ในโซนผู้ป่วยของอาเซียน

บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแค่แวะมาให้ทีมรัฐบาลเพื่อไทยแถลงโชว์อีเวนต์ ขายฝันการลงทุนเมกะโปรเจกต์ แต่เอาจริงก็บินข้ามไปปักหมุดลงทุนที่เวียดนาม อินโดนีเซีย

ด้วยปัจจัยของเพื่อนบ้านที่เอื้อประโยชน์มากกว่าไทย

สถานะด้านการลงทุนยังไม่กระเตื้อง โอกาสในการหารายได้เข้าประเทศยังมองไม่ค่อยเห็นหนทาง นอกจากเครื่องยนต์หลักด้านการท่องเที่ยวที่เดินอยู่เครื่องเดียว ตรงกันข้ามกับรายจ่ายที่ไหลเป็นน้ำป่า

สารพัดโครงการประชานิยมที่ครบดีลจ่ายตามสัญญารัฐบาล ทั้งเงินหมื่นแจกคนแก่ เงินหมื่นเฟสสาม ที่ชักเข้าชักออก หลอกคนที่ลุ้นเก้อแล้วเก้ออีก

สภาพกระทรวงการคลังกระเป๋าฉีก ไม่รู้จะอุดกันท่าไหน

ยังเจอจังหวะสะดุดปมกฎหมายจังๆ เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ติดเบรก “เสี่ยโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติพลาดนั่งตำแหน่งประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ฟาวล์ป่วนทีมบริหารรัฐบาล

ที่แน่ๆภายใต้เงื่อนไขไฟต์บังคับ เรื่องเศรษฐกิจปากท้องคือความคาดหวังของประชาชนที่ฝากไว้กับยี่ห้อ “ทักษิณ” ฟื้นความกินดีอยู่ดี

ถ้าทำไม่ได้ตามที่เคลมหาเสียงไว้คงโดนด่า เสียแต้มหนักไปกันใหญ่

และนั่นก็จะไหลรวมเป็นแรงกดทับมหาศาลทางการเมือง ตามรูปการณ์ที่รัฐบาลเพื่อไทย ทีม “ทักษิณ” ต้องผจญแรงเสียดทานต่อเนื่องข้ามปี

ล้อตามโจทย์เกมอำนาจของ “นายใหญ่” ที่ต้องฟื้นตำนานความแกร่ง วิ่งแข่งกับทีมคนรุ่นใหม่ในการชิงเครดิตต้นทุนหน้าตักที่วูบหนักจากการพลิกลิ้น ฉีกขั้วประชาธิปไตยผสมพันธุ์กับขุมข่ายทหารเฒ่า 3 ป.

เกมบีบต้องเบ่งกล้าม แปลงร่างเป็นหัวขบวนถือธงนำฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ตามอารมณ์ของขาใหญ่ที่ต้องเสียหน้า เสียเชิงจากการโดนโค่นแชมป์สนามเลือกตั้งที่ครองมายาวนานในรอบ 20 กว่าปี ต้องไล่ทวงคืนพื้นที่ทางการเมืองที่หดหายไปจากการระหกระเหินอยู่ต่างแดน เปิดสงครามชิงบ้านใหญ่ ชิงฐานจัดตั้งตามสูตรนักเลือกตั้งอาชีพรุ่นโบราณ

ชิงเดิมพันการเลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศในเดือนกุมภาพันธ์ “ทักษิณ” เดินสายช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย แย่งปักหมุดสนามเล็ก โดยเฉพาะ อบจ.เชียงใหม่ บ้านเกิดที่โดนกองทัพส้มลูบคมยึด สส.ไปเกือบทั้งเมือง

ตามเหลี่ยมบังคับ “เพื่อนหักเพื่อน” เมื่อมิตรพลิกเป็นศัตรู สงคราม “อนุรักษ์นิยม-เสรีประชาธิปไตย” พรรคเพื่อไทยต้องรบแตกหักกับค่ายประชาชน

และนั่นก็ต่อเนื่องกับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ทีมส้มประกาศล็อกคิวเชือดรัฐบาล “แพทองธาร” แน่ๆแค่รอยืนยันวัน ว. เวลา น.

เปิดฟลอร์ให้ “กุมารเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาชน ได้โชว์เชิงกระแทกรัฐบาลผู้นำตระกูลชิน ลบเสียงปรามาสผู้นำแถวสามกองทัพส้ม ยังชั้นไม่ถึง

ศึกปะฉะดะน่าจะในปลายเดือนมีนาคม ต้นเดือนเมษายน ก่อนปิดสมัยประชุม ก่อชนวนลากหัวเชื้อไฟร้อนไปนัวเนียการเมืองร้อนห้วงสงกรานต์ ฤดูกาลม็อบชุกไล่รัฐบาล

ในจังหวะเกมมวลชนแห่ลงถนน “แป๊ะลิ้ม” นายสนธิ ลิ้มทองกุล ขาใหญ่กลุ่มพันธมิตร ระดมม็อบเหลือง ล้มเอ็มโอยู 44 ล้มกระดานโปรเจกต์ขุดสำรวจก๊าซพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา

อีกทางก็ผสมโรงม็อบรวมพล “โจทย์ระบอบทักษิณ” ตั้งป้อมไล่บี้คดี “วีไอพี ชั้น 14” กัดติดเคลียร์บิลอภิสิทธิ์ชน ไม่ยอมให้จบแบบหยวนๆแน่

ศึกนอกม็อบล้นถนน ในสภาก็ปะทะแตกหักกองทัพส้มค่ายประชาชน

แต่ที่หนักหนาและเสี่ยงพังมากสุดก็อาการแฝง“สนิมเนื้อใน” ศึกหักหอกข้างแคร่กับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง บทการเมืองตบจูบกับค่ายน้ำเงิน ภูมิใจไทย

ปาดหน้าปาดหลัง ซ่อนหอก ซ่อนดาบ เสียบกันเผลอไม่ได้

เกมต่อรองผลประโยชน์ต้องแชร์ให้ลงตัวตลอดเวลา แต่ที่ไม่ยอมกันแน่ๆก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อค่ายกล “ซือแป๋มีชัย” ที่ตัวตึง 2 น. อย่าง “เนวิน ชิดชอบ–อนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่มีทางยอมปล่อยกติกาที่เอื้อประโยชน์ให้ทีมภูมิใจไทย ถือดุลอำนาจแทนทหารเฒ่า 3 ป.

การใช้อำนาจผ่าน สว.สายสีน้ำเงิน คุมด่าน จิ้มบุคลากรองค์กรอิสระ ทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฯลฯ

มันคือไพ่ “แต้มต่อ” เคลียร์กันยังไงก็ “ไม่จบแน่ครับนาย”

ส่อต้องหักดิบ เกมล้มเดิมพันลามถึงการลุยยึด “เขากระโดง” อาณาจักรเซราะกราว บุรีรัมย์ แต่นั่นก็ต้องแลกกับยุทธการย้อนศร “นายใหญ่” ต้องพร้อมแลกกับยุทธการไล่ทวงที่ธรณีสงฆ์ สนามกอล์ฟอัลไพน์ เสี่ยงไฟลามถึงครอบครัว

โดยเฉพาะ “นายกฯอิ๊งค์” ที่มีชื่ออยู่ในผู้ถือหุ้นหลักเต็มๆ

นั่นจึงยังได้เห็นลีลาตบจูบ ลูบหลัง อย่างที่ “ทักษิณ” ชวน “เสี่ยหนู” โชว์ออกรอบก๊วนกอล์ฟวีไอพีส่งท้ายปี จังหวะตั้งใจกลบรอยร้าว ลดโทนข่าวหักดิบ 2 น.

แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีจะญาติดีกันไปตลอดรอดฝั่ง เพราะตัวจริงค่ายภูมิใจไทยอย่าง “เนวิน” ไม่ได้ร่วมก๊วนออกรอบด้วย ตามภาวะทางใจ “ครูใหญ่” กับ “นายใหญ่” ขาดกันตั้งแต่ “มันจบแล้วครับนาย” ต่อยังไงก็ไม่ติด

ตามรูปเกมอำนาจที่ “ย้อนแย้ง” จุดแข็งแฝงจุดสลบ หมากเกมท้าทาย “ทักษิณ” ที่แสดงบท “ผู้ครอบครอง” เด่นชัดขึ้น โดยไม่สน ไม่กลัวล้ำเส้น “ผู้ครอบงำ”

ตามอารมณ์แบบที่ชิงเล่นบทดุแทนผู้นำรัฐบาล ส่งสัญญาณขู่ไล่พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่อยู่ด้วยใจก็ออกไป ถ้ารักจะอยู่ร่วมกันต้อง “เลือดสุพรรณ” มาด้วยกัน ตายด้วยกัน

อาการเชื่อมั่นเกินร้อย ในสถานะผู้ถือตั๋วกุมดุลอำนาจอนุรักษ์นิยม

แต่อีกทางก็ยังเต็มไปด้วยพันธนาการ คดีปักชนัก ทั้งปมยุบพรรคเพื่อไทยจากปาร์ตี้มาม่า ในคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า ตั้งรัฐบาลลูกสาวคนสุดท้อง ปมอภิสิทธิ์ชน โดนไล่บี้เคลียร์บิลชั้น 14 ไหนจะคดี 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ ที่ต้องลุ้นคำสั่งศาลอาญาในเดือนกรกฎาคม 2568

จังหวะพลิกผัน เสี่ยงปรากฏการณ์หักลำ ทั้งปรากฏการณ์พรรคเพื่อไทยเขี่ยทิ้งพรรคร่วมรัฐบาลที่ขัดลำเกมอำนาจหรือไม่ก็เป็น “นายใหญ่” ที่เป็นฝ่ายโดน “หักกลางลำ” ถ้าขบวนโหนอนุรักษ์นิยมพลิก

ฉากแลหน้าการเมืองปีงูเล็ก 2568 เต็มไปด้วยศึกใหญ่หลวงที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเผชิญ.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม