ทักษิณ ชินวัตร แบเบอร์

ใครมันจะโดดเด่นกว่า “ทักษิณ ชินวัตร” หาตัวจับไม่ได้

โดยบทสรุปบนโต๊ะประชุม “ทีมการเมืองไทยรัฐ” ที่พยักหน้าพร้อมกัน แทบไม่ทันต้องลงมติ ไม่ต้องเปิดโหวตตัดสิน และนั่นก็เชื่อโดยสนิทใจเหมือนกันว่า น่าจะตรงกับท่านผู้อ่าน แฟนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ส่วนใหญ่ใจตรงกัน

มอบตำแหน่ง “บุคคลการเมืองแห่งปี 2567” ให้กับ “อดีตนายกฯในตำนาน” ในห้วงปฏิทินหน้าสุดท้าย นับถอยหลังปีเก่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่ศักราชใหม่

ด้วยชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ตรงเผงตามคุณสมบัติ

ยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติของ “ทีมการเมืองไทยรัฐ” ที่ได้สรุปปรากฏการณ์ในรอบปีที่ผ่านมา โดยการคัดเลือก “บุคคลการเมืองแห่งปี” มาต่อเนื่อง

โดยนิยาม ผู้ได้รับเลือกเป็นบุคคลการเมืองแห่งปีของทีมเรา ไม่ได้หมายความว่า เขาหรือเธอผู้นั้นต้องเป็นนักการเมืองที่วิเศษวิโส เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม เปี่ยมไปด้วยจริยธรรม หรือคุณงามความดี ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ฝีมือบริหารยอดเยี่ยม เชี่ยวชาญการเมืองประดุจ “เซียนเหยียบเมฆ”

แต่ “บุคคลการเมืองแห่งปี” ในนิยามของ “ทีมการเมืองไทยรัฐ” หมายถึง บุคคลและไม่จำกัดที่จะรวมถึงคณะบุคคลที่มีบทบาท มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในเกมอำนาจ สร้างสีสันฉูดฉาด มีพลังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นให้เกิดกับการเมืองในประเทศไทยอย่างเด่นชัด

ด้วยคุณสมบัตินี้ ไม่มีใครเด่นเกิน “ประมุขจันทร์ส่องหล้า”

เอาเป็นว่านับตั้งแต่ประเดิมศักราชเดือนมกราคมต้นปี 2567 เป็นต้นมา แทบไม่มีวันไหนที่ชื่อของอดีตนายกฯในตำนานไม่ปรากฏทางสื่อมวลชน หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน

...

ตอกย้ำความเป็น “จุดศูนย์กลางอำนาจ” อย่างแท้จริง

โดยสถานะที่ตกเป็นเป้าสายตา กระแสจับจ้องอยู่ที่ “ชั้น 14” โรงพยาบาลตำรวจ ตามเงื่อนเวลาที่นายทักษิณอยู่ในระยะได้สิทธิ “พักโทษ” การคุมขังในเรือนจำ ตามกติกาของกรมราชทัณฑ์

ท่ามกลางกระแสเสียงโห่ของฝ่ายต้านที่แข่งกับเสียงเฮของฝ่ายเชียร์

และวันนั้นก็มาถึง เช้าตรู่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ปรากฏภาพของ “อดีตนายกฯในตำนาน” ในสภาพสวมเฝือกคอ

และสายคล้องแขนนั่งรถตู้ยี่ห้อหรู ขนาบข้างด้วยลูกสาวคนโปรด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

“เช็กเอาต์” ออกจากห้องวีไอพี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

จุดนับหนึ่ง “นายใหญ่” คืนรังอำนาจจันทร์ส่องหล้าอย่างเป็นทางการ

ตามจังหวะฟื้นตำนานความยิ่งใหญ่ ประเดิมด้วยการนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปกราบอัฐิ ไหว้บรรพบุรุษตระกูลชินวัตรที่จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางความคึกคัก ถนนทุกสาย สนามบินเนืองแน่นไปด้วยนักการเมือง บิ๊กข้าราชการ สื่อมวลชนยกขบวนไปเกาะติด รายงานข่าว “ทักษิณ” แบบเรียลไทม์

อวดบารมี “นายใหญ่” ตัวจริงศูนย์กลางอำนาจรัฐบาลเพื่อไทย

โดยความหมายแฝงทางการเมืองเชิงสัญลักษณ์ที่นักวิเคราะห์สะท้อนตรงกัน “นายใหญ่” ต้องเร่งกู้เมืองก่อนอื่นใด ล้างอายจากการเสียฟอร์มในบ้านเกิด ฐานที่มั่นของตระกูลชินวัตรที่โดนกองทัพส้ม พรรคก้าวไกล ตีแตกกระเจิงในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา แบบที่เหลือ สส.ให้พรรคเพื่อไทยแค่ 2 เก้าอี้

แต่ที่เด่นชัดกว่ากลับกลายเป็นภาพบดบังเครดิตฝ่ายเดียวกัน ปรากฏภาพข่าวรัฐมนตรี สส.พรรคเพื่อไทย แห่ไปล้อมหน้าล้อมหลัง “อดีตนายกฯในตำนาน” หักมุมกับภาพของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯในขณะนั้น ที่เดินเล่นชายหาดหัวหินโดยลำพัง

พลัง “ศูนย์อำนาจ” ตอกย้ำภาพของนายกฯซ้อน 2–3 คน

เรื่องที่ประชาชนคนทั้งประเทศรับรู้หมากอำนาจซ่อนกล และก็ไม่แปลกใจกับเกมปรับ ครม. ครั้งแรกของนายเศรษฐา ที่มีชื่อของ “ทนายถุงขนม 2 ล้าน” อย่าง “นายพิชิต ชื่นบาน” โผล่มายึดแป้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่เคยต้องโทษโดนขังในเรือนจำ

ไม่มีเหตุผลอื่น ชัดไปกว่าพลังของ “นายใหญ่” ตอบแทนคนภักดี ท่ามกลางเสียงทักท้วง เสียงเตือน ไปยันเสียงขู่ แต่นายเศรษฐา

ก็ไม่อาจทัดทานพลัง “ศูนย์กลางอำนาจ” พรรคเพื่อไทย จำใจต้องเสี่ยง

และก็ “ติดเงี่ยง” อันตราย ผู้นำนอมินีรุ่น 3 มีอันเป็นไปจริงๆ

ปม “ทนายถุงขนม 2 ล้าน” มีผลทำให้นายเศรษฐา ต้องตกเก้าอี้ เพราะโดนศาลรัฐธรรมนูญลงดาบฟันฐานความผิดจริยธรรม จำลาตำแหน่งนายกฯที่นั่งได้ไม่ถึงปี แทบไม่มีเวลาได้โชว์ฝีมือบริหาร

รัฐบาลเพื่อไทยสะดุดปมกฎหมายหัวคะมำ

ทีม “นายใหญ่” เสียท่าซ้ำซากในสมรภูมินิติสงคราม ฉาบหน้ามองกันอย่างนั้น แต่ในมุมซ่อนเหลี่ยมลึกไปอีกหลายชั้น มันกลับเป็นจังหวะที่ “ทักษิณ” ได้ยกระดับกระชับอำนาจ “ตัวจริง” เข้มถึงขีดสุด

ณ จุดที่ “เวนคืน” อำนาจการเมืองมาคอนโทรลแบบเต็มไม้เต็มมือ

ตามภาพข่าวที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิมมุดเข้าคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้าพร้อมกับชื่อของนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯในบัญชีพรรคเพื่อไทย โผล่มาคั่นฉาก สับขาหลอกไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่จบที่ชื่อของ “อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้าป้ายนายกรัฐมนตรี แบบม้วนเดียวจบ

เหลี่ยมโคตรเซียน อุ้มลูกสาวหลบดงระเบิดเข้าป้าย “ทักษิณ” โชว์ศักดาปั้น “ทายาทคนสุดท้องตระกูลชิน” เป็นผู้นำหญิงคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

“นายใหญ่” สำแดงเดช ล็อกเกมอำนาจบริหารอยู่ใน “ดีเอ็นเอ”

ในอารมณ์ฮึกเหิม ยกระดับก้าวสามขุมไปถึงขั้นสวนกระแส ไม่แคร์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เบิ้ลกลับฝ่ายต่อต้าน ไม่ใช่แค่ “ครอบงำ” แต่เขายิ่งใหญ่กว่าในฐานะ “ผู้ครอบครอง” ตามสถานะของพ่อที่ต้องช่วยอุ้มสมลูกสาวผู้เป็นนายกรัฐมนตรี

เคลียร์ภาพเชิงซ้อน “นายกฯ 2–3 คน” เหลือแค่โหมด “นายกฯ 2 พ่อลูก”

“ทักษิณ” คิด “อิ๊งค์” ทำ “ผู้นำซ้อนสอง” แยกไม่ออก ตามฟอร์ม “เถ้าแก่ใหญ่” บริษัทชินฯจำกัด เดินสายโชว์วิสัยทัศน์ จัดโดยสื่อสำนักใหญ่ “ทักษิณ” ฉวยเหลี่ยมโชว์ชั้นเชิงการบริหารเศรษฐกิจ อาศัยกินบุญเก่า ต้นทุนของอดีตผู้นำยุครัฐบาลไทยรักไทยรุ่งเรือง “นำร่อง” รัฐบาลเพื่อไทย

และสิ่งที่ “ทักษิณ” คิดทั้งดุ้น ได้ถูกลอกมาใส่ไว้ในนโยบายของรัฐบาลผสม ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่แถลงต่อสภา

ท้าทายเสียงขู่ ไม่สนข้อครหา คนนอก “ชี้นำ” รัฐบาล

สังคมจำรับสภาพ ตามช็อตฮือฮาส่งท้ายปี สื่อทำเนียบฯ มอบฉายา “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง”

“ทักษิณ” แสดงตัวแสดงตนเป็น “เบอร์ใหญ่” ตัวจริง คุมธงบริหารเศรษฐกิจ และนั่นยังรวมไปถึงการบริหารแต้มทางการเมือง พยายามทวงคืนพื้นที่ในสนามเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยที่หดหายไป

แห่ความฮอตยี่ห้อ “ทักษิณ” ที่ถูกปรามาสว่า วูบลงตามสังขาร

กู้ความเสียหายจากข้อหา “พลิกลิ้น” ต้นทุน “นายใหญ่” ที่แทบหมดหน้าตัก จากการฉีกอุดมการณ์ กลับตาลปัตรไปผสมพันธุ์ข้ามขั้วกับทีมทหารเฒ่า 3 ป. โหนขบวนอำนาจอนุรักษ์นิยม

เกมบีบ “ทักษิณ” ต้องกระชับอำนาจ รักษาดุลต่อรอง “ดีลลังกาวี”

ไล่บี้คู่ต่อสู้หลัก ไล่ชนพลังเด็กรุ่นใหม่กองทัพส้ม “ทักษิณ” หันปืนใหญ่ ล็อกเป้าถล่มรุ่นน้อง อดีตเคยร่วมอุดมการณ์ ทั้งเหน็บ “หนุ่มทิม” พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นพระเอกหนังเกาหลี หรือการชี้เป้าประจาน “ไพร่หมื่นล้าน” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คือตัวอันตรายแท้จริงของ “สถาบัน”

ขณะที่อีกทางก็ต้องระแวงหอกข้างแคร่ ระวัง “คู่หูเซราะกราว” อย่าง “เนวิน ชิดชอบ–อนุทิน ชาญวีรกูล” ทีมน้ำเงิน ค่ายภูมิใจไทย ที่กำลังเร่งแซงขึ้นมาหายใจรดต้นคอ ส่อโดน “นายใหญ่” เบียดกระแทก แหกโค้ง “เขากระโดง” บุรีรัมย์

ตามเหลี่ยมแบบที่ “ทักษิณ” สำแดงความโหดให้เห็นในปฏิบัติการหักหอกข้างแคร่ ไล่ล่าทำลายบ้านป่าฯ จน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทบไม่เหลือที่ยืนบนกระดานอำนาจ

หรือการสยบคู่อาฆาตอย่างค่ายประชาธิปัตย์ยังต้องยอมราบคาบขอเกาะเอวร่วมรัฐบาล

สถานการณ์อยู่ในโหมดเอื้อ “นายใหญ่” โชว์ศักดา “ทักษิณ” ผู้ฆ่าไม่ตาย

ห้าวหาญฮึกเหิม ประดุจพญาเสือโคร่งกลับเข้าป่า จากคนไม่มีเส้น กลายเป็น “เส้นใหญ่” ถือตั๋วหรา ท้าทายแนวต้านที่ยังแฝงอยู่เต็มไปหมด พวกจ้องโค่นกระดานไม่ลดดีกรีความหมั่นไส้ล้นทะลัก

ฝีหนองแห้งแต่เชื้อยังฝัง พร้อมลามเป็นบาดทะยัก

ไม่ว่าจะปมนักโทษวีไอพี ชั้น 14 ปาร์ตี้มาม่าในคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า ที่ถูกขบวนนักร้องวงบ้านป่าฯร้องปักชนักไว้ในองค์กรอิสระ ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แนวรบนิติสงครามที่ยังไม่สงบ

นั่นไม่เสียวเท่าเงี่ยงแหลมคม ปมคดี 112 ของ“ทักษิณ” จากการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี ที่ค้างอยู่ในสารบบศาลอาญา นัดลุ้นชะตาในเดือนกรกฎาคม 2568

“ทักษิณ”ยังเต็มไปด้วย“พันธนาการ” ที่พร้อมถูกกระตุกได้ทุกเมื่อ

เหนืออื่นใด เดิมพันสูงสุดคือ“น้องปู”อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังต้องอยู่ต่างแดน ตามแผนที่“ทักษิณ”ป่าวประกาศจะพาน้องสาวกลับบ้านสงกรานต์ปีหน้า ภารกิจแลกเดิมพัน ห้าวหาญยังไงก็ไม่กล้าเสี่ยงล้มดีล

โจทย์บังคับเสือโคร่งกลับเข้าป่า แต่ยังเป็นแค่“พยัคฆ์ในกรง”

“นายใหญ่” ต้องอยู่ในวงของฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทย

ดุดัน น่ากลัว แต่ถูกกักบริเวณอยู่ในขอบเขตจำกัด นี่คือบทบาทตัวตนคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทีมการเมืองไทยรัฐ ยกให้เป็นบุคคลการเมืองแห่งปี 2567

"ทีมการเมือง"

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม