นายกฯ บอก เกาะกูดเป็นของไทย ลั่น จะไม่ยอมเสียพื้นที่ให้ใครแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ย้ำ ประโยชน์ประเทศต้องมาก่อน ยัน ไม่มีปัญหากับกัมพูชา พร้อมเดินหน้า MOU 44
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เรียกประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามความคืบหน้าในการทำงาน และปัญหาต่างๆ ในการทำงานด้วย โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.), นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.), นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา (ชพน.), นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.), นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม (กธ.) รวมถึง นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เข้าร่วม
ทั้งนี้ การประชุมจะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องบันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2544 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล หลังกัมพูชาลากเส้นเขตแดนทับเกาะกูดของไทย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับที่ .. พ.ศ. …. ซึ่งอาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ขึ้นมาพูดคุยกันด้วย
...
จากนั้นเวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังประชุมร่วมกับหัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า “ขอยืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทยและเป็นมาตั้งนานแล้ว กัมพูชาก็รับรู้เช่นกันว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส แน่นอนว่ารัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม เรื่องเกาะกูดระหว่างกัมพูชาเอง เราไม่เคยมีปัญหาและไม่มีข้อสงสัยด้วย แต่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันของประเทศไทยเอง”
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เรื่องบันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2544 ยังอยู่ ไม่สามารถมีการยกเลิกได้ เพราะการยกเลิกต้องใช้การตกลงระหว่าง 2 ประเทศคือประเทศไทยและกัมพูชา ถ้าเรายกเลิกเองก็จะถูกฟ้องร้อง
เมื่อถามว่า รัศมีรอบเกาะกูดในพื้นทะเลเป็นของเราอย่างไร น.ส.แพทองธาร ระบุว่า MOU 2544 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกาะกูด เรื่องนี้ไม่ได้มีการถกเถียง เพราะเกาะกูดเป็นของไทย และหากไปดูการตีเส้น เขาก็ตีเส้นเว้นเกาะกูดไว้ให้เรา ซึ่งการพูดคุยกันในวันนี้ไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับที่ดิน แต่พูดถึงที่ดินในทะเลว่าสัดส่วนใครขีดเส้นอย่างไร เพราะใน MOU ขีดเส้นไม่เหมือนกัน เนื้อหาใน MOU เป็นข้อตกลงร่วมกันว่าจะมีการเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศ
ดังนั้น หากจะเกิดอะไรขึ้น จะมีข้อตกลงอะไร เราต้องมีคณะทำงานขึ้นมาพูดคุยกัน ตอนนี้คณะกรรมการของกัมพูชามีอยู่แล้ว แต่ของเราเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา ด้วย และตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มีคณะกรรมการนี้เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว คิดว่าไม่น่าจะนาน เพราะดำเนินการมาประมาณ 1 เดือนแล้ว เมื่อเสร็จแล้วจะได้ศึกษาและพูดคุยกันว่าระหว่าง 2 ประเทศตกลงกันอย่างไร
เมื่อถามว่าการไม่ยกเลิก MOU ทำให้คนมองว่าเรายอมรับการขีดเส้นของกัมพูชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า “อันนั้นคือความเข้าใจผิด เราไม่ได้ยอมรับเส้นอะไร MOU ดังกล่าวคือการที่เราคิดไม่เหมือนกัน แต่เราต้องแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2515 กัมพูชาขีดเส้นมาก่อน ต่อมาปี 2516 เราขีดเส้นด้วย แม้จะขีดเหมือนกันแต่ข้อตกลงข้างในไม่เหมือนกัน จึงทำ MOU ขึ้นมา และเปิดการเจรจาให้ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันว่าจะเป็นอย่างไร ขอย้ำว่าเกาะกูดไม่เกี่ยวกับการเจรจานี้ ให้คนไทยทุกคนสบายใจได้เลยว่าเราจะไม่เสียเกาะกูดไป และกัมพูชาก็ไม่ได้สนใจเกาะกูดของเราด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
ส่วนประเด็นที่มีการอ้างสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเลิก MOU นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่มี ข้อเท็จจริง MOU ปี 2544 ยกเลิกไม่ได้ หากไม่เกิดการตกลงของทั้ง 2 ประเทศ เรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมรัฐสภา และในปี 2552 ก็ไม่มีเรื่องนี้เข้าในรัฐสภา โดยระหว่างนี้นายกรัฐมนตรีได้หันไปด้านข้าง ซึ่งนางนฤมล ยืนอยู่ จากนั้น นางนฤมล ตอบกลับมาว่า “ปี 2557 ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยัน” จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันทุกคนเป็นเนื้อเดียวกันว่ามีมติ ครม. ว่าไม่มีการยกเลิก
ทางด้านเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2544 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องถามว่ายกเลิกแล้วได้อะไร เราต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศคิดไม่เหมือนกันได้ จึงต้องมี MOU ว่าถ้าคิดไม่เหมือนกัน เราต้องคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก การรักษาไว้ซึ่งความสงบระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ใน MOU ดังกล่าวเปิดให้ 2 ประเทศพูดคุยกัน จึงต้องถามว่ายกเลิกแล้วได้อะไร ถ้ายกเลิกฝ่ายเดียวโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาแน่นอน ซึ่งไม่มีประโยชน์
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การยืนยันวันนี้อาจถูกมองว่ารัฐบาลเดินต่อโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่จริงเลย ที่เรามากันในวันนี้ทุกคนตกลงกันอย่างง่ายดาย และเข้าใจคอนเซปต์เดียวกันว่าอันนี้คือข้อตกลงระหว่างประเทศ ไม่เกี่ยวกับเสียงคัดค้าน วันนี้ที่ออกมาพูดให้ประชาชนฟังเพื่อจะอธิบายว่า
1. MOU ไม่เกี่ยวกับเกาะกูด
2. MOU คือเรื่องระหว่างสองประเทศ หากจะยกเลิกต้องเป็นการตกลงระหว่างประเทศ
3. เรายังไม่เสียเปรียบเกี่ยวกับข้อตกลงเลย
”ฉะนั้นอย่าเอาเรื่องของการเมืองมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสั่นคลอน เราอยากให้เข้าใจตรงกันตามหลัก”
เมื่อถามย้ำ ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะเดินหน้า MOU ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีเผยว่า แน่นอนเราจะเดินต่อ ตอนนี้กัมพูชารอเราในเรื่องของคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา ที่จะไปศึกษาและพูดคุย ซึ่งกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพลังงานจะมาช่วยกัน ขณะที่คำถามว่ากลัวประเด็นนี้จะบานปลายหรือไม่ น.ส.แพทองธารให้คำตอบว่า ถ้าทุกคนเข้าใจในหลักการแล้ว ไม่น่าจะบานปลาย เพราะทั้งหมดคือข้อเท็จจริง ไม่มีการคุยอะไรข้างหลัง เพราะที่กล่าวมาคือกรอบ เป็นหลักคิด เป็นกฎหมาย ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เผือกร้อนของตน
สำหรับข้อกังวลเรื่องพลังงานใต้ทะเล แนวทางของรัฐบาลเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องคุยกันระหว่างประเทศก่อน และต้องมีการศึกษารายละเอียดว่าจะแบ่งกันอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับ 2 ประเทศยุติธรรมมากที่สุด เราจึงส่งคณะกรรมการที่รู้รายละเอียดไปศึกษาร่วมกันกับทางกัมพูชา ให้ได้คำตอบที่จะสามารถตอบประชาชนได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในคำถามว่าจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชาในเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถสร้างคอนเน็กชันที่ดีได้ เหมือนเรามีเพื่อนสนิท เราก็สามารถคุยกันได้ แต่เรื่องของประโยชน์ของประเทศเขาและประเทศเรา เราต้องใช้คณะกรรมการเพื่อไม่ให้มีอคติ ความรู้สึกของฉันของเธอขึ้นมา เราใช้คณะกรรมการเพื่อให้เกิดความรู้จริง รู้ครบและยุติธรรม”
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามอีกว่ายืนยันจะรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยอย่างสูงสุดใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า “ดิฉันเป็นคนไทย 100% ประเทศไทยต้องมาก่อน คนไทยต้องมาก่อน รัฐบาลนี้ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่ และจะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขที่สุด”