“หมอวรงค์” ยื่นร้องถึง ปธ.กกต. ตรวจสอบ “ทักษิณ ชินวัตร” ครอบงำเพื่อไทย-หัวหน้าพรรค หลังแสดงพฤติกรรมมีบทบาทชี้นำตั้งแต่เลือกนายกฯ ยัน ไม่ได้รับเงิน-รับงานใคร ขออย่าเหมารวมเป็นขบวนการนิติสงคราม
วันที่ 11 กันยายน 2567 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ยื่นหนังสือให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบพรรคเพื่อไทย กระทำความผิดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ที่ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาครอบงำพรรคเพื่อไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทั้งที่นายทักษิณไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และพรรคเพื่อไทยยินยอมให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคมาครอบงำ ชี้นำ
ทั้งนี้ ปรากฏพฤติกรรมของนายทักษิณ ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวตั้งแต่เย็นวันที่ 14 สิงหาคม 2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ได้เรียกนายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และแกนนำของพรรคเพื่อไทยบางคน หัวหน้าและผู้บริหารพรรคร่วมรัฐบาลไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หารือการเสนอชื่อบุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายเศรษฐา แต่ไม่มีกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคของพรรคร่วมรัฐบาลออกมาปฏิเสธ โดยมีหลักฐานชัดเจนจากภาพถ่ายและภาพคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์และโซเชียลมีเดีย
จากหลักฐานทั้งหมดแสดงให้เห็นชัดว่านายทักษิณเข้ามาชี้นำ ครอบงำ และควบคุมพรรคเพื่อไทย ประหนึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560
นอกจากนี้ ยังมีหลายเหตุการณ์ที่ปรากฏข่าวนายทักษิณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพรรคเพื่อไทย ทั้งการประชุมที่ตึกชินวัตร ทาวเวอร์ 3 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าไปสังเกตการณ์ประชุมพรรคเพื่อไทยเท่านั้น และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงนายทักษิณบอกว่าไม่ได้ครอบงำนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แต่ครอบครองเพราะเป็นลูกสาว ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดที่ปรากฏตามข่าว เห็นได้ชัดว่านายทักษิณ เข้าไปครอบงำ ชี้นำ เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจต่อการจะรับหรือไม่รับตำแหน่งทางการเมืองของนางสาวแพทองธาร แม้จะบอกว่าเป็นพ่อ แต่บทบาทของนางสาวแพทองธาร คือหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
...
ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ กล่าวต่อไปว่า การมายื่นร้องของตนอย่าไปเหมารวมว่าเป็นขบวนการนิติสงคราม การร้องเรียนต่างๆ เพื่อเช็กบิลรัฐบาลแพทองธาร และนักร้องก็รับงานมา ซึ่งตนเองเห็นว่าการใช้คำว่านิติสงคราม เป็นคำที่ใช้โจมตี และอยากถามกับคนที่พูดเรื่องนี้ว่ายึดมั่นเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลถือเป็นหัวใจหลักของประชาธิปไตย การมาโจมตีคนที่ร้องเรียนว่าเป็นพวกนิติสงครามแบบนี้เท่ากับไม่ยอมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล จึงขอประชาชนอย่าหลงประเด็น เพราะคนพวกนี้กลัวการตรวจสอบ
ทั้งนี้ ตนเองถือว่าการตรวจสอบและถ่วงดุลเป็นเสน่ห์ของระบอบประชาธิปไตย คนได้ประโยชน์คือประชาชน นิติสงครามจึงเป็นวาทกรรมของพวกที่ไม่ชอบตรวจสอบแต่ปากอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย คนพวกนี้คือของปลอม และยืนยันว่าตนไม่ได้รับเงินหรือรับงานใครมาร้อง การพูดแบบนี้เป็นการด้อยค่าคนอื่น หากจะรับเงินคงรวยตั้งแต่คดีจำนำข้าวแล้ว ซึ่งครั้งนั้นมีคนมาเจรจาแต่ตนเองไม่รับ นับประสาอะไรที่บอกว่ารับจ้างร้องคดีละ 200,000 บาท แบบนั้นมันกระจอกเกินไป
“การหวนกลับสู่การเมืองของนายทักษิณ เหมือนเป็นการฟื้นคืนระบอบทักษิณอีกครั้ง แต่นายทักษิณ ไม่สำนึกผิดและไปพูดบนเวทีปาฐกถาว่าที่ต้องออกไปอยู่นอกประเทศ 17 ปี เพราะมีคนหมั่นไส้ ไม่ยอมอยู่ชั้น 14 และพยายามมีพฤติกรรมให้คนสงสัยว่ามีการครอบงำพรรคเพื่อไทย ลักษณะนี้คือการรื้อฟื้นระบอบทักษิณขึ้นมา ซึ่งหลังๆ มีคนใช้คำว่าระบอบชินวัตร เพราะหนักกว่านายทักษิณ และหากคิดดีกับชาติบ้านเมืองจริง ต้องเคารพกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แต่หากยังท้าทายกฎหมายก็จะต้องมีการตรวจสอบพฤติกรรมของนายทักษิณ คือผู้รื้อฟื้นระบอบทักษิณ และแปลงร่างเป็นระบอบชินวัตร”
ส่วนการมายื่นร้องให้ กกต. ตรวจสอบวันนี้คาดหวังว่าจะได้รับการตรวจสอบ เพราะองค์กรอิสระคือหัวใจที่จะทำให้ประชาธิปไตยเสมอภาคกัน และการที่มายื่นร้องให้ตรวจสอบก็เป็นการกระตุกคนที่คิดจะกระทำไม่ถูกต้อง ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น