ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 33 หรือ “ปารีส 2024” ผ่านไปแล้ว 4 วัน ปรากฏว่าชาติที่ได้เหรียญทอง และเหรียญอื่นๆมากกว่าเพื่อน เรียงตามลำดับ ได้แก่ ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, จีน, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ

เมื่อไปถึงวันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน ตำแหน่งแห่งที่ว่าใครจะได้เป็น “เจ้าเหรียญทอง” คงจะเปลี่ยนไปแน่ๆ แต่ก็เชื่อว่าจะอยู่ใน 6 ประเทศนี่แหละ

เป็นที่ปักใจเชื่อกันมานานแล้วว่า “กีฬาโอลิมปิก” นั้นมีส่วนเชื่อมโยง หรือมีความสัมพันธ์กับการเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศที่มี สถานะทางเศรษฐกิจ ค่อนข้างดีเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งทั้ง 6 ประเทศที่โกยเหรียญนำชาติอื่นๆในขณะนี้ล้วนแต่เป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งสิ้น

รวมทั้งจีนซึ่งรายได้ต่อหัวแม้จะยังอยู่ในอันดับที่ 70 กว่าๆของโลก เพราะมีประชากรเยอะมากตัวหารจึงมาก แต่ถ้ามองเฉพาะจีดีพีของประเทศอย่างเดียว ขณะนี้ของจีนสูงถึง 17.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯเท่านั้นเอง

ที่สำคัญทั้ง 6 ประเทศล้วนเคยเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกมาแล้วทั้งสิ้น

ญี่ปุ่นจัดมาแล้ว 2 ครั้ง ฝรั่งเศสครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 จีน 1 ครั้ง ออสเตรเลีย 2 ครั้ง เกาหลีใต้ 1 ครั้ง และสหรัฐฯจัดไปแล้ว 4 ครั้ง จะจัดครั้งที่ 5 ในอีก 4 ปีข้างหน้า

โดยเหตุที่การเป็น “เจ้าภาพ” โอลิมปิก เป็น 1 ในสัญลักษณ์ของประเทศพัฒนาแล้วทางเศรษฐกิจ เพราะใครจะจัดได้ต้องมีเงินพอสมควร ทำให้ประเทศที่พัฒนาปานกลางแต่สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายหลัง มักจะอาศัยการเป็น “เจ้าภาพ” กีฬาโอลิมปิกเป็นเครื่องมือในการประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาของตนเอง

...

เริ่มจาก “โตเกียวโอลิมปิก” ที่ญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1964 หรือปี 2507 หลังจากได้มุ่งมั่นพัฒนาประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมั่นใจว่ามีการพัฒนาที่สูงพอสมควร ก็ตัดสินใจไปขันอาสาเป็นเจ้าภาพ และได้รับการคัดเลือก

ทำให้โลกได้รับรู้รับทราบมากขึ้นว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เจริญมาก ผลิตสินค้าได้หลายอย่าง เช่น “รถยนต์” และ “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ฯลฯ เป็นต้น

ประเทศต่อมาที่ใช้โมเดลญี่ปุ่นก็คือเกาหลีใต้ ที่ขันอาสาจัด “โซลโอลิมปิก” เมื่อ ค.ศ.1988 หรือ พ.ศ.2531 นั่นเอง

ใครจะไปเชื่อว่าจากประเทศที่ยากจนไม่มีเงินจัดกีฬา เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ.1970 หรือ พ.ศ.2513 ต้องมาขอร้องให้ ไทยแลนด์ จัดแทนนั้น เกาหลีแอบไปซุ่มเงียบพัฒนาตัวเองเป็นเวลา 16 ปี แล้วค่อยขันอาสามาจัดกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 10 ในปี 1986 หรือ พ.ศ.2529

ต่อด้วยการจัด โอลิมปิกปี 1988 หรือ พ.ศ.2531 หรือโอลิมปิก ครั้งที่ 24 ซึ่งก็จัดได้อย่างยอดเยี่ยมได้รับคำชื่นชมจากชาวโลกเช่นกัน และส่งผลให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วเต็มตัว

ผลิตรถยนต์ดังๆออกมาขายหลายยี่ห้อและที่ดังที่สุดก็คือเครื่องใช้ไฟฟ้า “ซัมซุง” ที่วิวัฒนาการมาผลิตมือถือ “ซัมซุง” ในทุกวันนี้

แต่ก่อนแต่ไรโอลิมปิกเป็นกีฬาสมัครเล่น และเป็นกีฬาที่จัดโดยรัฐหรือใช้ภาษีของรัฐหรือเมืองเท่านั้น ทำให้ขาดทุนในหลายประเทศ

“มอนทรีออลโอลิมปิก” ที่แคนาดาปี 1976 เป็นตัวอย่างของการล้มละลายของเมืองเจ้าภาพ เพราะไปลงทุนสร้างสนามกีฬาใหญ่เกินตัว ต้นทุนสูงมากเป็นหนี้ธนาคารอยู่หลายปี

ต่อมาสหรัฐฯก็หันมาใช้วิธีหา “สปอนเซอร์” และให้ภาคเอกชนร่วมจัดได้ เริ่มจาก “แอลเอโอลิมปิก” ค.ศ.1984 ทำให้กีฬาโอลิมปิกมีกำไรมหาศาลนับแต่นั้นมา

แต่ก็ยังอุตส่าห์มีบางประเทศที่ลงทุนเกินตัว และเก็บรายได้ไม่คุ้ม แม้มีสปอนเซอร์แล้วก็ยังไม่คุ้ม ได้แก่ กรีซ ที่จัด “เอเธนส์โอลิมปิก” เมื่อ ค.ศ.2004 หรือ พ.ศ.2547 ขาดทุนย่อยยับ จนเป็นสาเหตุให้ประเทศ “ล้มละลาย” เป็นทุกข์อยู่หลายปี

จากนี้ไปจะมีประเทศพัฒนากลางๆ ที่ไต่ระดับไปเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มาขันอาสาเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เพื่อยกระดับตัวเองอีกหรือไม่หนอ?

2 ครั้งหน้าไม่มีแน่ๆ เพราะหวยออกมาแล้วว่าเป็น “แอลเอ” สหรัฐฯ ในปี 2028 กับ บริสเบน ของออสเตรเลียในปี 2032

ประเทศไทยเราล่ะมีสิทธิ์บ้างไหมเนี่ย หลังจากนั้น? หรืออาจเป็นประเทศที่เคยบอกว่าจนแล้วมาให้เราจัดเอเชียนเกมส์แทนอย่างเกาหลีใต้ จะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นหนที่ 2?

เพราะดูอัตราการพัฒนาของเขายังคงเดินหน้าไปไม่หยุด ในขณะที่ของเรายังติด “กับดัก” จะก้าวพ้นประเทศ “รายได้ปานกลางขั้นสูง” ไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย? สงสัยจะเป็นเจ้าภาพได้แค่ “เอเชียนเกมส์” นี่แหละครับ.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม