“เศรษฐา” ลุยอู่ตะเภา ดูข้อติดขัดเชื่อมสนามบิน ลั่น ต้นปี 2568 ต้องได้สร้างรถไฟความเร็วสูง ย้ำ อย่าให้เกิดปัญหา หวั่นกระทบเป็นลูกโซ่
เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พูดคุยหารือประเด็นปัญหาและการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รองรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี และทันตแพทย์หญิงศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้การต้อนรับ
...
นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้มาเพื่อติดตามเรื่องของสนามบินอู่ตะเภา การพัฒนาอีอีซี รวมถึงรถไฟความเร็วสูง ที่ถือว่าเป็นเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลนี้ ซึ่งทำกันมาหลายรัฐบาลแล้ว โดยรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเชื่อมโยง และเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความล่าช้าอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดมีความสำคัญอย่างยิ่ง
จากนั้น นายจุฬา กล่าวรายงานว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ความจริงแล้วสัญญาเสร็จตั้งแต่ปี 2562 และควรจะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2564 แต่เนื่องจากมีการระบาดของโควิด-19 บริษัทเอกชนมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถเริ่มโครงการได้ ขณะเดียวกันดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น และค่าก่อสร้างยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้เขาไม่สามารถที่จะหาธนาคารมาให้กู้เงินได้ ต้องใช้วิธีการเจรจา ซึ่งปัจจุบันมีหลักการที่พยายามจะนำเสนอในกระบวนการ โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 ตั้งเป้าจะมีการนำเสนอโซลูชันในการเจรจาเข้าคณะกรรมการ สกพอ. และนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป หากเห็นหลักการ ก็จะรู้ตัวสัญญาที่จะแก้ไขใหม่ ประมาณสิ้นปี 2567 จะเซ็นสัญญาแก้ไขใหม่ได้ และจะเริ่มก่อสร้างในต้นเดือนธันวาคม 2567 หรือต้นเดือนมกราคม 2568
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไป ถ้าเกิดโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยังมีความล่าช้าอยู่ จะสร้างความมั่นใจให้เอกชนอย่างไร มันก็เป็นการอีหลักอีเหลื่อ หากสถานการณ์เป็นไปแบบนี้ ตรงนี้อยากให้ชี้แจงความกระจ่าง โดยโครงการนี้ควรจะเริ่มก่อสร้างปี 2564 แต่เกิดปัญหาโควิด-19 เรื่องผู้รับเหมาและเรื่องอะไรต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สัญญาอยู่ระหว่างการต่อรองอันนี้ตนไม่ได้พูดถึงความชอบธรรมหรือความถูกต้อง ตนจะสรุปข้อมูลว่าเป็นลักษณะนี้ ในระหว่างที่เราเริ่มงาน 2-3 ปีเป็นเรื่องการต่อรองว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งขณะนี้เวลาของสัญญาหมดไปแล้ว แต่เดี๋ยวจะมีการหาทางออก โดยการตั้งสมมติฐานทางด้านการเงินใหม่ รวมถึงอาจจะรวมไปถึงการต่อรองกับทางรัฐบาล เรื่องของความเงื่อนไขของผลตอบแทน ไม่ขอคอมเมนต์ว่าทำได้หรือทำไม่ได้ แต่ทุกอย่างจะต้องจบให้ได้ภายในสิ้นปี 2567 และก่อสร้างได้ต้นปี 2568
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า คำถามต่อมาคือ ระหว่างนี้คนที่ทำสนามบินอู่ตะเภาเขาจะเดินหน้าต่อหรือเปล่า และความเสี่ยงมันก็มีว่าหากจบไม่ได้ หรือหากกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถหาข้อยุติได้ ตัวบทสัญญามันจะทำอย่างไรต่อไป ขอฝากไว้อย่าให้ปัญหาเกิดขึ้นกับการก่อสร้างสนามบิน หากรถไฟเชื่อม 3 สนามบินมีปัญหา เชื่อว่าหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์นี้ต้องไปพูดคุยกันให้ดี เพราะสนามบินอู่ตะเภามีความสำคัญอย่างยิ่งกับเมกะโปรเจกต์ของเรา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ที่ตนได้ลงพื้นที่ไปดูเรื่องสร้างสนามแข่งขัน F1 หากไม่มีสนามบินก็ลำบากกับเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว ฉะนั้นเรื่องของรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นเรื่องที่สำคัญ ประมาณสิ้นเดือนกรกฎาคมเราก็น่าจะข้อสรุปและเป็นข่าวดี ในฐานะรัฐบาลอยากให้ไปต่อ เพราะถือเป็นจิ๊กซอว์การลงทุนข้ามชาติ ต่อยอดบริษัทที่จะมาลงทุนในอีอีซี ทำธุรกิจการค้า หรือธุรกรรมการลงทุนต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ถ้าหากขาดไปตัวหนึ่งก็คงลำบาก เราไม่ต้องไปลงรายละเอียดว่าเชื่อม 3 สนามบินต้องไปลิงก์กับสนามบินที่กรุงเทพฯ อย่างไร พร้อมย้ำว่าอย่าให้เกิดปัญหา ไม่เช่นนั้นหากติดกระดุมเม็ดแรกผิดตั้งแต่ต้น ก็จะเกิดปัญหาตามมาเป็นมหากาพย์
ทางด้าน นายสุริยะ กล่าวตอบนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ในขณะนี้ได้สั่งให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดแล้ว ซึ่งแนวโน้มตนเชื่อว่าก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 น่าจะมีข้อสรุป.