กระบวนการพิจารณาคดียุบก้าวไกลต้องเปิดเผย โปร่งใส เป็นธรรม เป็นหัวใจของหลักนิติธรรมและนิติรัฐ ที่พรรคก้าวไกลส่งสัญญาณผ่านแนวทางข้อต่อสู้บันได 9 ขั้น ทั้งกระบวนการ-ข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมาย-สัดส่วนโทษ เพื่อให้พ้นโทษประหารชีวิตพรรคการเมือง
โดย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล หวังเป็นอย่างยิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) เปิดโอกาสให้ไต่สวนอย่างเต็มที่ ก้าวไกลพร้อมต่อสู้คดี เพราะ 2 ในบันได 9 ขั้น ทั้งกระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเดิมจาก กกต.ออกระเบียบสำหรับยื่นร้องยุบพรรคการเมือง ตาม พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา 92
“เริ่มต้นโดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ตั้งพนักงานไปรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้น ถ้ามีมูล ให้ตั้งคณะบุคคลขึ้นมารวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน
ขั้นตอนนี้ต้องแจ้งพรรคที่ถูกกล่าวหา นำพยานหลักฐานมาโต้แย้ง ก่อนที่คณะบุคคลนั้นสรุปรายงานเสนอนายทะเบียน ถ้าผิดก็เสนอต่อ กกต.
หาก กกต.เห็นด้วยกับรายงานถึงยื่นคำร้องยุบพรรคต่อศาล รธน. ตามมาตรา 92 ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ กกต.จัดอบรมให้พรรคการเมือง พร้อมทำเป็นแผนผังแจกพรรคการเมืองด้วย
ขอย้ำยุบพรรคตามมาตรา 92 ต้องดำเนินการตามมาตรา 93 และระเบียบใหม่ที่ กกต.ออกตามมา ไม่ใช่ตีความแบบศรีธนญชัยว่า มาตรา 92 เป็นอำนาจของ กกต. มาตรา 93 เป็นเรื่องของนายทะเบียน”
...
และ กกต.ยังอ้างมีหลักฐานอันเชื่อได้ โดยยึดคำวินิจฉัยศาล รธน.ที่สั่งให้ก้าวไกล และนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เลิกกระทำตาม รธน.มาตรา 49 ทั้งห้ามไม่ให้เสนออะไร เพื่อยกเลิกมาตรา 112 ห้ามไม่ให้แก้ไขมาตรา 112 ที่ไม่ชอบด้วยกระบวนการนิติบัญญัติ
กลับเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่นายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอต่อ กกต.ที่พิจารณาแล้วมีน้ำหนัก ข้อโต้แย้งของก้าวไกลไม่มีน้ำหนัก ก็ยื่นยุบก้าวไกลต่อศาล รธน. ทั้งที่ “พยานหลักฐาน” กับ “กระบวนการ” เป็นคนละเรื่อง การยุบพรรคเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงออกแบบให้มีกระบวนการกลั่นกรองมากกว่าหนึ่งชั้น
แม้อ้างคำวินิจฉัยของศาล รธน.นี้มีผลผูกพัน กกต. หากไม่ดำเนิน การยื่นร้องต่อศาล รธน.อาจผิดอาญา มาตรา 157 อ้างแบบนี้ไม่ได้ เป็นการอนุญาตให้ กกต.ไม่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบที่กำหนดไว้
ยิ่งพฤติการณ์ต่างๆที่ กกต.อ้างเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วตามคำวินิจฉัยของศาล รธน.ไม่มีอยู่ในคำวินิจฉัยให้เลิกการกระทำเลย อาทิ สส.ก้าวไกลเสนอร่างแก้มาตรา 112 เสนอนโยบายแก้ 112 สส.ก้าวไกลเป็นนายประกัน หรือเป็นผู้ต้องหาในคดี 112 สส.หรือสมาชิกก้าวไกลไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม
ตรงนี้เป็นประเด็นที่มีน้ำหนักมาก ไม่มีเหตุยุบก้าวไกล
ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่เรายกขึ้นต่อสู้ และประเด็นใหญ่สุดที่เราสู้ คือศาล รธน.มีอำนาจวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ โดย รธน.ฉบับก่อนหน้านี้ที่บัญญัติไว้ชัดเจน ศาล รธน.มีอำนาจยุบพรรคการเมืองได้
แต่โดย รธน.60 “ไม่ได้บัญญัติให้ศาล รธน.มีอำนาจยุบพรรคการเมือง” และไม่มีบทบัญญัติใน รธน.ที่เปิดช่องให้ศาล รธน.ขยายอำนาจเพิ่มได้ แต่ภายหลังกฎหมายพรรคการเมือง ไปกำหนดให้ กกต.ยื่นยุบพรรคการเมืองได้ และกฎหมายลูกว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รธน. ก็กำหนดวิธีการ และกระบวนการพิจารณาคดีเท่านั้น
ในคดียุบพรรคอนาคตใหม่ เคยสู้ในประเด็นนี้ แต่ศาล รธน.วินิจฉัยว่าตัวเองมีอำนาจตามกฎหมาย โดยอ้างกฎหมายลูกว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รธน. ขอตั้งข้อสังเกตกฎหมายลูกทั้งสองฉบับเข้าข่ายขัด รธน.ที่ให้อำนาจศาล รธน.ยุบพรรค
ประเด็นนี้แม้มีความหวังน้อยมาก แต่ต้องวางหลักให้บ้านเมือง ถ้ายอมให้ขยายอำนาจตามอำเภอใจ หรือใช้ดุลพินิจโดยพลการ ไม่ยึดเจตนารมณ์ รธน. และกฎหมายจะอันตราย
การยกประเด็นต่อสู้กับ กกต. และตามธงบันได 9 ขั้น ที่ก้าวไกลประกาศ ต้องการให้คำวินิจฉัยส่วนตนและคำวินิจฉัยกลางของศาล รธน. ตอบข้อเท็จจริง และหลักกฎหมาย นายชัยธวัช บอกว่า เชื่อว่า กกต.รู้ดีไม่สามารถรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน เพื่อกล่าวหาก้าวไกลได้
“ก่อนหน้านั้นมีนักร้องหลายคนไปยื่นร้องต่อ กกต.หลาย ครั้ง เพื่อให้ยุบก้าวไกล ทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง ทั้งกรณีนายประกันคดี 112 นโยบายหาเสียงแก้ไข 112 เสนอร่างกฎหมาย 112
พฤติการณ์หลักที่นำมากล่าวหาครั้งนี้ ล้วนเคยถูกร้องไปที่ กกต.ทั้งสิ้น ปรากฏว่า กกต.ยกหมด ไม่รับดำเนินการต่อ เพราะไม่มีมูลเหตุฟังได้ตามที่ถูกกล่าวหา
ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ กกต.รวบหัว รวบหาง ไม่ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นรวบรวมพยานหลักฐาน ตามมาตรา 93 และระเบียบของ กกต.
ดันทุรังตีความแบบศรีธนญชัยยื่นยุบก้าวไกลตามมาตรา 92 โดยไม่ ปฏิบัติตามมาตรา 93 และระเบียบ จุดนี้ก็เป็นข้อต่อสู้ในคดี สู้ในสองมิติ”
คดียุบพรรคเป็นมาตรการรุนแรง ต้องเคร่งครัด ยุบพรรคง่ายๆไม่ได้ จะกลายเป็นทำลายระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ปกครองระบอบประชาธิปไตย
คดียุบพรรค ได้กุนซือกฎหมายระดับอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกามาชี้ช่อง เพื่อแก้เกมในศาล รธน. อย่างน้อยต้องตอบคำถามบันได 9 ขั้น เป็นความหวังของพรรคก้าวไกลขนาดไหน นายชัยธวัช บอกว่า ฝ่ายกฎหมายพรรครับผิดชอบเขียนคำชี้แจงทั้งหมด
ประเด็นข้อต่อสู้ไหน มีนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญ ก็ไปขอคำปรึกษา เป็นเรื่องๆ ข้อต่อสู้ไหนที่ถูกท้วงติงยังมีจุดอ่อนก็ตัดออก เหลือไว้เท่าที่มีน้ำหนักและเหตุผล
สู้ได้ทั้งข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมายไม่ควรยุบก้าวไกล
ตามหลักนิติศาสตร์เชื่อมั่นสอบผ่าน แต่ทางรัฐศาสตร์ประเทศไทยมีการเมือง 3 ก๊กใหญ่ ซึ่งเกี่ยวโยงกับการยุบพรรคก้าวไกลแน่ เพื่อถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองในประเทศไทย ทำให้พรรคก้าวไกลหลุดบ่วงไม่ถูก ยุบพรรค นายชัยธวัช บอกว่า อาจมากกว่า 3 ก๊ก
แต่ตอนนี้กลุ่มพลังทางการเมืองหลักมี 3 ขั้ว ทั้ง “กลุ่มอนุรักษ์นิยมหรืออำนาจเก่า-กลุ่มคุณทักษิณ (ชินวัตร)” สองพลังทางการเมืองเป็นคู่ขัดแย้งหลักในรอบ 20 ปี โดยถูกกลุ่มที่สองอาศัยความชอบธรรมทาง การเมือง มีอำนาจจากการเลือกตั้ง อีกกลุ่มหนึ่งถ้าไม่พอใจก็ยึดอำนาจถึง 2 ครั้ง และใช้ตุลาการภิวัตน์
ปรากฏว่าจากเหตุการณ์การเมือง ความ รู้สึกของสังคม และกติกา มันเกิดช่องให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่ขึ้นมาเป็นกลุ่มที่สาม โดย เฉพาะการเลือกตั้งปี 66 พลังทางการเมืองกลุ่ม สามโตเหนือความคาดหมาย
กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง มองกลุ่มสามเป็นภัยคุกคามร่วมปัญหาสำคัญพลังทางการเมืองกลุ่มที่หนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์โชคร้าย ไม่มีตัวแทนที่มีศักยภาพของตัวเองอยู่ในระบบเลือกตั้ง ซึ่งพรรค การเมืองที่เคยเป็นฐานก็ง่อยเปลี้ยเสียขา มองไม่เห็นอนาคตทางการเมือง ไม่มีตัวผู้เล่น ไม่มีตัวแทนในสนามเลือกตั้ง
กลุ่มอนุรักษ์นิยม-กลุ่มคุณทักษิณ เป็นพันธมิตรกันชั่วคราว
สถานการณ์แบบนี้ มีหลายซีนาริโอ หลายคนอาจมองว่าวิธีที่ดีที่สุด รักษาสมดุลให้มีฝ่ายขัดง้างบาลานซ์ในระบบเลือกตั้ง เพราะอันตรายที่สุด คือมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจเดี่ยวแล้วกินรวบ
“แต่ชนชั้นนำมีชุดเหตุผลอีกแบบ อาจไม่ได้คิดเหมือนคนสามัญชนทั่วไป เมื่อไม่มีตัวแทน ไม่มีผู้เล่นในระบบเลือกตั้ง ก็ต้องทำให้ฝ่ายอื่นที่เหลืออ่อนแอให้หมด
โดยทำให้พรรคการเมืองถูกทำลาย ถูกทำให้อ่อนแอด้วยวิธีการหนึ่งวิธีการใด วิธียุบพรรคถ้วนหน้าเสมอกันก็เป็นอีกวิธี เพื่อทำให้ไม่สามารถโตไปได้มากกว่านี้ อย่างน้อยที่สุดอยู่ในการควบคุมได้
รวมถึงยัดคดีชนักปักหลังกล่องดวงใจ เพราะบางพรรค กล่องดวงใจทศกัณฐ์อยู่ที่ภูเขา ไม่ได้อยู่ที่นายกฯ จากนั้นจัดการควบคุมให้ได้
ก้าวไกลก็ทำให้อ่อนแอไปก่อน รู้ว่าฆ่าไม่ตาย แต่ซินาริโอในอนาคตยังมองไม่เห็นว่าเป็นอย่างไร นับว่ามองเฉพาะหน้าแบบสายตาสั้นมาก ที่ทุบฝ่ายการเมืองทุกฝ่ายไปก่อนให้อ่อนแอให้หมด มีผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ”
เป็นอันตรายกับทุกฝ่ายในระดับการเมือง การเมืองเขม็งเกลียวมากขึ้น
ฉะนั้น การแก้ปัญหาการเมืองโดยยุบพรรคการเมือง ถึงเวลาต้องทบทวน.
ทีมการเมือง
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม