นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่น ไทยวางรากฐานชัดเจน พร้อมเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ขอบคุณ หลังจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย สานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับบริษัทไทยอีก 10 ปี 

วันที่ 10 มิถุนายน 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์และส่วนประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มศักยภาพประเทศรองรับการผลิต การเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของภูมิภาค และดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) ทั้งนี้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามสานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับบริษัทไทยอีก 10 ปี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในการทำงานอย่างหนัก สนับสนุนทุกโอกาส ผลักดันประเทศตามวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand ที่กำหนดไว้ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนทุกโอกาส ความพร้อม เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันนี้ จึงทำให้ไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีคุณค่าของภูมิภาคสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลก 

โดย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวไทย และสานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกาศลงนามต่อสัญญาว่าจ้างกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี ในฐานะพันธมิตรระยะยาวที่มีบทบาทในการประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงขานรับนโยบายผลักดันแนวคิด Circular Economy ประเดิมด้วยการส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 MWh ซึ่งรวบรวมมาจากแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้ทดสอบในกระบวนการผลิต ให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ สนับสนุนการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมไทย รวมถึงการยกระดับบุคลากรไทย และสนับสนุนการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้มีมาตรฐานระดับโลก 

...

ในช่วงท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า “นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์ และการทำงานอย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างมีแบบแผน เพื่อให้ประเทศไทยมีการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เหมาะสมแก่การลงทุน เต็มไปด้วยศักยภาพที่จะเอื้อประโยชน์แก่การลงทุน พร้อมพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จะทำให้ประเทศไทยมีคุณสมบัติที่นักลงทุนมองข้ามไม่ได้ ซึ่งต้องขอบคุณทุกความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย และร่วมแลกเปลี่ยนการพัฒนาสู่บุคลากรไทย พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ดอกผลของการทำงานหนัก เตรียมความพร้อมของไทยนี้จะแสดงผลสำเร็จให้เห็นอย่างต่อเนื่อง”.