ทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างคิด เพราะมีเงื่อนไขและตัวแปรที่ต่างออกไป ยิ่งเป็นรัฐบาลผสมอย่างปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้แหละ...

เพียงแต่การอยู่ร่วมกันของรัฐบาลชุดนี้ มันเป็นผลประโยชน์ร่วมจากหลายฝ่าย อย่างที่พูดกันว่าเป็น “รัฐบาลพิเศษ” สลายขั้วทำนองนั้น

อีกทั้งการเป็นรัฐบาลย่อมดีกว่าฝ่ายค้าน จึงไม่มีใครออกไปอยู่ในวงจรอื่นๆ เพราะมันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ในฐานะพรรคแกนนำอย่าง “เพื่อไทย” นั้นมีเป้าหมายทางการเมืองที่ชัดเจน คือต้องอยู่ครบเทอม เพื่อส่งต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้หัวหน้าพรรคคนใหม่

“แพทองธาร ชินวัตร”

ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องมีแผนงานที่วางเอาไว้อย่างลำดับ อย่างนโยบายที่เป็นเป้าหมาย คือการขึ้นค่าแรงเริ่มต้นจากวันละ 400 บาททั่วประเทศ

ก็ต้องทำให้ได้!

แต่เนื่องจากค่าแรงนั้น มีคณะกรรมการไตรภาคี (คณะกรรมการค่าจ้าง) เป็นผู้กำหนดซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติ ดังนั้น

การขึ้นค่าแรงคณะกรรมการชุดนี้จึงเป็นผู้กำหนดการที่จะบังคับให้ประกาศขึ้นค่าแรงงานวันละ 400 บาท ในทันทีคงเป็นไปไม่ได้ แต่มันต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณา

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีแรงงานมาจากคนของภูมิใจไทย ไม่ใช่เพื่อไทย ความคิดหรือการดำเนินการต่างๆ จึงแตกต่างกัน

โอกาสที่จะได้วันละ 400 บาททั่วประเทศ คงเป็นไปได้ยาก เพราะตัวแทนจากฝ่ายนายจ้างไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะจะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆมาก เนื่องจากสูงเกินไป ซึ่งจะเป็นปัญหาทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

ลงท้ายประชาชนผู้บริโภค ก็ต้องแบกรับภาระจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น อีกทั้งธุรกิจขนาดเล็กก็ต้องเลิกกิจการ

นี่เป็นเพราะนโยบายทางการเมืองที่ไม่สอดรับกับสภาพความเป็นจริง

...

สุดท้าย “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ก็ต้องกินแหนงแคลงใจกัน

นั้นเรื่องหนึ่ง...

อีกเรื่องที่น่าจะเป็นหนังม้วนยาวก็คือ “กัญชาเสรี” ที่ภูมิใจไทยเดินหน้ามาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว และยังค้างท่ออยู่ เพราะยังไม่มีกฎหมายควบคุมที่ชัดเจน

แต่พอเปลี่ยนเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายที่จะนำ “กัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดแบบเก่า” โดยอ้างว่าเด็กและเยาวชนเสพกัญชากันมาก เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

“ภูมิใจไทย” เจ้าของ “กัญชาเสรี” แม้หัวหน้าพรรคทำท่าว่าจะยอม แต่มีข้อแม้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลการตัดสินของคณะกรรมการฯ

เพราะข้อมูลคนละชุดกัน จึงมีความเห็นที่ต่างกัน

พูดง่ายๆ ว่ายอมในที แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการฯอีกทั้งลูกพรรคเริ่มแสดงความเห็น ในลักษณะที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของนายกรัฐมนตรี

อีกทั้งยังมีมวลชนกลุ่มหนึ่ง ที่ลงทุนและประกอบธุรกิจเรื่องนี้ ต่างก็คัดค้าน เตรียมเคลื่อนไหวใหญ่ เพราะพวกเขาจะได้รับผลกระทบ

ดูเค้าแล้วคงจะเดินหน้าไปทางหนึ่งทางใดยาก

เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลที่ตรงข้ามกัน!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม