“เฉลิมชัย” หัวหน้า ปชป. เดือด! ร้องหาจรรยาบรรณนักการเมือง ยัน ประวัติตน-ครอบครัว ไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีวันทำชั่ว โวยสื่อบางแขนงเลิกเป็นศาลเตี้ย รับเป็นญาติ”เฮียเก้า” คดีว่าตามเนื้อผ้า ซัด คนปล่อยข่าว เลิกใช้คำ “แม่ยก ปชป.”
วันที่ 16 ม.ค. 2567 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย กก.บห. และ สส.ของพรรค ร่วมกันแถลงข่าวต่อประเด็นที่ถูกนำชื่อเข้าไปพัวพันกับคดีหมูเถื่อน ว่า เรื่องดังกล่าวมีการสร้างประเด็นหลายประเด็น และมีความพยายามโยงเรื่องต่างๆ ให้มาถึงตน ซึ่งตนมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า จากการดำเนินการที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และมีการทำเป็นกระบวนการนี้ เป็นการทำไปเพื่อให้สังคมไขว้เขว หรือเข้าใจผิดว่าตนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่ตนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค และต้องการแก้วิกฤติ แก้ปัญหาในพรรค ตนจึงต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถเดินหน้าไปด้วยความใสสะอาด
...
ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ตนเข้าไปเป็น รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตนได้มอบอำนาจให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมกับแสดงหนังสืออำนาจ เลขที่ 166/2562 โดยหนังสือดังกล่าวเป็นการมอบอำนาจเต็ม ตั้งแต่อำนาจการสั่งการ การอนุญาตอนุมัติ การกำกับดูแล การปฏิบัติราชการหรือดำเนินการอื่นๆ ที่รัฐมนตรีว่าการพึงปฏิบัติ หรือดำเนินการตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับคำสั่งตามมติ ครม. ที่ให้รัฐมนตรีว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน ในกรณีที่มีกฎหมายระเบียบข้อบังคับ หรือมติ ครม.ไม่ได้มอบอำนาจ นอกจากเป็นอำนาจเฉพาะตัว ซึ่งมีเพียง 3 เรื่อง คือ 1. งบประมาณ 2. นโยบาย และ 3. เรื่องที่ ครม.กำหนด กล่าวคือการนำเรื่องเสนอต่อ ครม. ที่จะต้องให้รัฐมนตรีว่าการเท่านั้นเป็นผู้เสนอ ส่วนการพิจารณาเรื่องนั้นข้าราชการจะดำเนินการไปตามลำดับชั้น ซึ่งการมอบอำนาจดังกล่าวถือว่าเป็นการมอบอำนาจที่ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายในการทำงาน
สำหรับกรณีที่ตนจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องหมูนั้น เนื่องจากในช่วงหนึ่งมีการระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ซึ่งเรื่องนี้ตามโครงสร้างแล้ว จะต้องเป็นของคณะกรรมการระดับประเทศที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในขณะนั้น ได้มอบให้ตนทำหน้าที่เป็นประธานเพื่อแก้ไขปัญหาโรคระบาดดังกล่าว จนกระทั่งมีข่าวการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศไทย ช่วงปี 2565 ตนจึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เฉพาะในส่วนของท่าเรือเท่านั้น แต่ให้ตามติดแนวตะเข็บชายแดนทั้งหมด และให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เป็นผลให้ในปี 2565 สามารถจับและทำลายหมูเถื่อนได้ถึง 1 ล้านกว่ากิโลกรัม ซึ่งตนก็เป็นผู้นำทำลายเองในวันที่ 12 มกราคม 2566 ถึง 7 แสนกว่ากิโลกรัม พร้อมกับมีคำสั่งอย่างเด็ดขาด พร้อมประสานกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจเข้มตามห้องเย็นทั่วประเทศ อีกทั้งยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจำนวนมาก เพราะเรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล และนโยบายของตน ทำให้ตนเข้าไปดูแล แต่ไม่ได้เป็นการก้าวก่ายการทำงานแต่อย่างใด จนเป็นที่มาของนโยบายปราบหมูเถื่อนอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเคลียร์
“จากนโยบายตรงนี้ ทั้งการจับการปราบอย่างเด็ดขาด ห้ามมีการเคลียร์อย่างเด็ดขาด ทำให้หมูไม่สามารถนำออกจากท่าเรือได้ หมูร้อยกว่าตู้ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ก็เกิดจากนโยบายตรงนี้ ถ้าผมไม่ได้ออกนโยบายตรงนี้ ผมก็มั่นใจว่าป่านนี้หมูไปอยู่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้ หรืออยู่ในท้องใครก็ไม่มีใครทราบ จึงบอกว่าวันนี้สังคมกำลังเข้าใจผิด และจะมีเหตุผลอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเหตุผลทางการเมือง มีการโยงใย 2-3 เดือน ว่าผมไปมีส่วนเกี่ยวข้อง มีคนใกล้ชิดเกี่ยวข้อง ซึ่งผมต้องเรียนว่าเรื่องนี้ ผมพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผม ครอบครัวผม ไม่ทำเรื่องสกปรกโสโครก ไม่รับเงินพวกนี้ ไม่เคยรับเงินพวกนี้ แม้กระทั่งสลึงเดียว บาทเดียว ผมพูดไม่รู้กี่ครั้ง แต่มันถูกกระบวนการต่างๆ กลบทำลายไปหมด วันนี้ผมก็ยังพูดเช่นเดิมว่า ผมไม่เคยรับเงินพวกนี้แม้กระทั่งบาทเดียว ผมไม่เคยให้นอมินี หรือตัวแทนที่จะไปรับเงินพวกนี้แม้แต่บาทเดียว ไม่เคยเอื้อประโยชน์ในสิ่งที่ผิดกฎหมายให้กับใครทั้งสิ้น ผมมีหลักการทำงานของผม อย่าว่าแต่คนใกล้ชิดเลย ให้คนในครอบครัวผมเอง ถ้าทำผิดผมก็ไม่ปกป้อง ไม่เอื้อประโยชน์ให้แน่นอน 100% ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ถ้ามีใครทำผิดก็ต้องไม่มีใครได้ละเว้น และผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีก็ต้องทำอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
พร้อมกับเรียกร้องว่า จากที่มีการนำเสนออย่างต่อเนื่องมา 2-3 เดือน ว่ามีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ตนขอให้เปิดเผยชื่อออกมาว่าเป็นนักการเมืองคนไหน การมาสร้างความกำกวม จนทำให้สังคมเกิดความรู้สึกว่ารัฐมนตรีคนนั้นคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ตนขอให้คนที่ปล่อยข่าวดังกล่าวลองใช้สามัญสำนึกของความเป็นคนดูว่ามันเจ็บปวดหรือไม่ ถ้าครอบครัวของคุณโดนอย่างนี้บ้าง จะรู้สึกอย่างไร ขอให้เลิกเสียที เพราะเมื่อความเสียหายเกิดขึ้น กว่าความจริงจะปรากฏได้ ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
“อย่าทำแบบสมัยเด็กๆ เวลาเด็ก ป.3 ป.4 มีเรื่องกัน ใครต่อยก่อนได้เปรียบ เพราะต่อยแล้ววิ่งหนีไปฟ้องพ่อแม่ ทำให้อย่างมากก็ถูกตำหนิ สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมโดนต่อยจนไม่มีโอกาสได้แก้ตัว แต่วันนี้ผมมีความสุขที่สุด มีความสบายใจที่สุดที่คนรอบข้างที่เขาบอกว่าเกี่ยวข้องกับผมนั้น ได้เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และผมก็บอกเลยว่าไม่มีการปกป้องอย่างเด็ดขาด ถ้าคุณทำผิด คุณต้องได้รับโทษ ผมจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเลย และพร้อมที่จะให้เขาลงโทษด้วย แต่ถ้าคุณไม่ผิดก็ต่อสู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งผมก็เชื่อว่าระบบยุติธรรมบ้านเรายังศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่กระบวนการยุติธรรมในบ้านเราเป็นระบบกล่าวหา คือกล่าวหาก่อนได้เปรียบ เมื่อคุณกล่าวหาคนหนึ่ง บุคคลคณะหนึ่ง สังคมก็เชื่อไปแล้วว่าเป็นความผิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสื่อต่างๆ ออกมาโหมกระหน่ำ มาพิพากษาเสียเอง มาทำเป็นศาลเตี้ยเองทั้งหมด สิ่งเหล่านี้มีความเป็นธรรมหรือไม่” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยกมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่มาตรานี้ได้รวมทั้งเรื่องการปฏิบัติ และการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังนั้นตนจึงขอให้กำลังใจข้าราชการที่ดีที่จะต่อสู้เอาความจริงและเอาผู้กระทำผิดออกมา พร้อมกับเรียกร้องว่าใครทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เอกชน หรือนักการเมือง ซึ่งตนจะติดตามและมีคณะทำงานช่วยรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ช่วยรักษากฎหมายด้วย
“มีข่าวแว่วมามากมายว่า วันนี้กำลังจะมีการนำบุคคลบางคนบางกลุ่มที่กระทำผิดไปเป็นพยาน เพื่อที่จะชักนำไปให้ถึงบุคคลอื่นๆ ท่านต้องทำให้มีหลักฐานชัดเจน เพราะมาตรา 157 ไม่ได้เขียนไว้ลอยๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ ท่านก็ไม่ได้รับการละเว้นหรอก และที่บอกว่ามีไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง ก็ขอให้ช่วยกันขุดคุ้ยออกมาว่าไอ้โม่งคนนั้นเป็นใคร เพื่อให้ประเทศชาติได้ประโยชน์ ผมก็พร้อมที่จะร่วมมือทุกอย่าง ส่วนคนใกล้ชิดก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลย และเขาก็มีสิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการด้วย”
นอกจากนี้ ดร.เฉลิมชัย ได้กล่าวถึงการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยได้หยิบยกเอารัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรค 2 ที่ระบุว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนว่ากระทำความผิดไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีคนที่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเองเช่นกัน และสิ่งใดที่ทำให้ตนเสียหาย ก็บอกได้ว่าตนฟ้องแน่นอน แต่ตนจะไม่กลั่นแกล้งหรือระรานใคร แต่จะทำไปเพื่อปกป้องตัว และปกป้ององค์กรไม่ให้เกิดความเสียหาย
ดร.เฉลิมชัย กล่าวถึงเรื่องที่มีการนำรูปในช่วงที่ตนเดินทางไปแสดงความยินดีกับประธานวิสาหกิจจีน และกลุ่มนักธุรกิจจีนมาบิดเบือนนั้นว่า เรื่องดังกล่าวอาจเป็นทั้งความไม่รู้ ความโง่เขลา ที่หยิบยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายให้กับประเทศ เพราะคนจีนกลุ่มนี้คือนักธุรกิจที่เตรียมเข้ามาร่วมลงทุนใน EEC ซึ่งเป็นโปรเจกต์ของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ในช่วงกลางปีที่แล้ว นอกจากนี้การที่ตนได้มีโอกาสไปต้อนรับคณะดังกล่าวนั้น เป็นการประสานมาโดยมีหนังสือเชิญให้ตนไปร่วม ไม่ใช่การขอเสนอตัวไป ขณะที่นายเก้า หรือนายหลี่ เซิ่งเจียว ขณะนั้นเป็นนายกสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย นอกจากนี้คณะจีนดังกล่าวก็เป็นคณะเดียวกันกับที่นายกฯ เศรษฐา ไปพบเช่นกัน
นอกจากนี้ ดร.เฉลิมชัย ได้เพิ่มเติมในประเด็นที่มีการบิดเบือนว่าข่าวที่ว่า นายหลี่ เซิ่งเจียว เป็นพี่น้องต่างมารดากับตนนั้น เป็นเรื่องเท็จว่า คนไทยมีบรรพบุรุษจากเมืองจีนจำนวนมาก ซึ่งในประเทศจีนนั้น ใครอาศัยหมู่บ้านเดียวกันก็ถือว่าเป็นญาติกัน และตนไม่ได้ปฏิเสธการเป็นญาติ แต่ตนปฏิเสธว่าตนกับ นายหลี่ ไม่ได้เป็นลูกพ่อเดียวกัน ซึ่งการบิดเบือนเรื่องนี้ก็เพื่อต้องการโยงให้ตนใกล้ชิดกับ นายหลี่ ที่สุด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว พ่อของตนมาอยู่เมืองไทย 80 กว่าปี และไม่เคยกลับไปจีนอีกเลย ดังนั้นคงไม่สามารถไปเข้าฝันแล้วท้องที่ประเทศจีนได้หรอก พ่อตนไม่มีฤทธิ์เดชขนาดนี้
“คุณเอาความไม่รู้ของคุณมาเล่นการเมือง ตั้งใจจะด่าผม ด่าความเป็นหัวหน้าพรรค ขอให้เลิกใช้คำว่าแม่ยกประชาธิปัตย์เสียที ขอให้เลิกยุ่งกับประชาธิปัตย์ คุณกำลังจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำลายนักลงทุนที่เดินทางมาลงทุนในประเทศ ฝากรัฐบาลด้วยว่าคนประเภทนี้จะอยู่เฉยเหรอ การที่ผมไปนั้น ผมได้รับหนังสือเชิญทุกครั้ง ผมไปอย่างมีเกียรติ ผมขึ้นกล่าวปาฐกถา เป็นประธานในพิธีร่วมในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเชิญมา ต่อเนื่องที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อย่างนี้มันผิดเหรอ ช่วยประเทศชาติ ช่วยรัฐบาล คุณไม่ดูเลยว่าแต่ละคนในรูปภาพที่สื่อเอาไปลง มันมีผลกระทบอะไรกับประเทศไทยบ้าง หรือมันปากอย่างเดียว ทำไมต้องมาอาฆาตผมและอาฆาตทีมงานทั้งหมด คุณทำไปเพื่ออะไร มันสะใจหรือไง แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้น ระวังนะว่าการกระทำของคุณจะทำให้กระทบกับหลายเรื่องระหว่างไทยกับจีน และกระทบการลงทุนของนักลงทุนจีน รัฐวิสาหกิจจีนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ถ้าเขาไม่มาลงทุน คุณรับผิดชอบด้วย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว พร้อมกับยืนยันอีกครั้งว่า ตนและครอบครัว ทำมาหากินโดยสุจริต มีธุรกิจที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ประวัติครอบครัวของตนไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีวันทำชั่ว และจะไม่มีวันทำชั่วและทุจริตคอร์รัปชันเด็ดขาด