"ภูมิธรรม เวชยชัย" รับเก้าอี้ผู้จัดการพรรคเพื่อไทยแทน "ปลอดประสพ" ยันไม่มีขัดแย้ง ขณะเชื่อต้น ก.ค.ศาลรัฐธรรมนูญนัดคู่กรณีไต่สวนเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจชี้ชะตาอนาคตบ้านเมือง หวังตุลาการเข้าใจคนส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย พร้อมชี้ที่ผ่านมาตุลาการ และนักการเมืองหลายคนยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 บิดเบี้ยวไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วจะขวางแก้ไขเพื่ออะไร...
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้จัดการคนใหม่พรรคเพื่อไทย เปิดเผยไทยรัฐออนไลน์ภายหลังที่ประชุมพรรคมีมติให้เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการพรรค แทนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยนายภูมิธรรม ยืนยันว่าการกลับเข้ามาทำงานให้กับพรรคเพื่อไทย อย่างเป็นทางการของตนเองนั้น ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นระหว่างคนที่ทำงานอยู่ก่อนเลย ทุกฝ่ายต่างเข้าใจกันดี โดยเฉพาะนายปลอดประสพ ที่ได้มีโอกาสพูดคุยกันแล้ว ก็ยังมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซึ่งนายปลอดประสพเองมีภารกิจสำคัญต้องดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ตนเองจึงเข้ามาช่วยในส่วนของผู้จัดการพรรค ซึ่งตามประสบการณ์ที่เคยร่วมทำพรรคมา ก็คิดว่าคงเข้ามาช่วยดูแลปรับปรุงแก้ไขอะไรต่ออะไรให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ แต่หากจะให้ตอบว่าจะเข้ามาปรับปรุงอะไรบ้างนั้น คงยังตอบไม่ได้ ซึ่งจะเริ่มเข้าไปดูงานจริงๆ จังๆ คงวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะเป็นพรรคใหญ่ และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง คงไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนมากมาย และคงอาจจะเข้ามาอยู่ช่วยงานส่วนนี้ในระยะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจากนี้ไปก็คงมีอีกหลายท่านที่จะทยอยเข้ามาช่วยงานพรรค เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองใหญ่ มีทั้งมวลชน สมาชิกและองค์ประกอบมาก การมีคนมาช่วยดูแลก็เป็นเรื่องที่ดี
...
ทั้งนี้เตรียม เรียกประชุมกองโฆษกพรรค และสำนักงานส.ส.ของพรรคในอาทิตย์หน้า เพื่อหารือทำความเข้าใจใหม่ด้วย
ขณะที่การกลับเข้ามาทำงานของตนเองในครั้งนี้ แม้จะถือเป็นคนจากบ้านเลขที่ 111 คนแรกที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งในพรรคอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอะไรในพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้คนจากบ้านเลขที่ 111 ก็มีที่เข้าไปทำงานในรัฐบาลด้วยบ้างแล้ว เช่น คุณ ศันสนีย์ นาคพงษ์ นอกจากนี้ สมาชิกบ้านเลขที่ 111 อีกหลายคนก็ได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้วเช่นกัน อาทิ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายวราเทพ รัตนากร ก็กลับเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เรื่องบรรยากาศทางการเมืองก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องความถูกต้องในการยื่นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันที่ 5-6 ก.ค.ที่จะถึงนี้ อาจเป็นวันที่กำหนดบรรยากาศ สถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยได้ เนื่องจากทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดที่อาจต้องตัดสินใจกันว่า เราจะเลือกทางเดินที่ยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ชัดเจน หรือจะเดินไปตามหลักตามธง หรือตามความรู้สึกที่บางคนวิพากย์ วิจารณ์ ซึ่งส่วนตัวมองว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติเสียหายไปมาก ซึ่งคงมีแต่กฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์ที่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพาบ้านเมืองให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และความสงบสุข ซึ่งตนเองก็คาดหวังอยากจะเห็นการตัดสินที่ยึดหลัก เนื่องจากหากจะมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา เรื่องรัฐธรรมนูญนั้น หลายท่านที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ได้เคยออกมาเรียกร้องประชาชนให้รับรัฐธรรมนูญปี 50 ไปใช้กันก่อน เพราะต่างก็ทราบกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ยังมีลักษณะที่บิดเบี้ยว ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ แม้ท่านที่อยู่ในแวดวงตุลาการเองก็ยังมีข่าวปรากฏเป็นคลิปว่าเคยแสดงความเห็นว่าควรรับรัฐธรมนูญฉบับปี 2550 ไปก่อน เนื่องจากหากไม่รับก็ไม่ทราบว่า คมช.จะนำเอาอะไรมาใช้ ซึ่งหากรับมาแล้วก็นำเข้าสู่กระบวนการแก้ไขกันภายหลังโดยมีการกล่าวถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ด้วย
หรือแม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เคยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และหากเข้ามาเป็น ส.ส.ก็จะเป็นคนแรกที่ยกมือแก้ไข แต่ที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างปัญหา แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมา เราต่างรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้กันมาทั้งที่ทราบดีว่ามันยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งสะท้อนออกมาด้วยการเกิดปัญหาในการบริหารบ้านเมือง เป็นอุปสรรค หากต้องการให้อุปสรรคต่างๆ ลดน้อยลงเพื่อให้เกิดการทำงานที่เต็มที่ ก็ควรปรับแก้ให้อยู่ในทิศทางที่ประชาชนมีส่วนร่วม และอยู่ในหลักเกณฑ์ของประชาธิปไตยที่ชัดเจน ซึ่ง
ตนเองก็ยังหวังว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรนูญ ในวันที่ 5-6 ก.ค.นี้ เชื่อว่าทุกคนจะพยายามนำพาบ้านเมืองให้กลับสู่ภาวะปกติ หวังว่าคงจะออกไปในทิศทางที่ดี ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองอาจจะเกิดบรรยากาศของความว้าเหว่ ไม่มีความหวังให้กับประชาชนเลย ซึ่งส่วนตัวก็ได้เพียงคาดหวังว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านจะไตร่ตรองด้วยดี และอยากให้ท่านประเมินให้รอบด้าน ซึ่งเชื่อว่าท่านทราบดีแล้วว่าอารมณ์ความรู้สึกคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นไปในทิศทางไหน ซึ่งตนเองยังไม่กล้าคิดถึงสถานการณ์บ้านเมือง ในกรณีที่การวินิจฉัยออกมาในรูปแบบที่พลิกผัน ซึ่งบ้านเมืองอาจหาข้อยุติลำบาก.
ทั้งนี้นายภูมิธรรมยังได้กล่าวถึง กรณีที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เสนอแนวความคิดถอนร่าง หรืออาจมีการชะลอ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่อาจจะมีการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ในวันเปิดสภา วันทืี่ 1 ส.ค. ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ต้องมีการออกไปเก็บข้อมูล พบปะกับประชาชนก่อน ซึ่งขณะนี้ก็มีการเก็บข้อมูลอยู่แล้ว แล้วจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาหารือในที่ประชุมพรรคอีกครั้ง ซึ่งตนเองเตรียมจะจัดให้มีการประชุมพรรคเพื่อไทย ก่อนวันที่ 1ส.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดสภาฯก่อนซักประมาณ1 อาทิตย์ เพื่อที่จะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาปรึกษาหารือกัน หากความคิดเห็นของประชาชนเป็นอย่างไร ก็จะได้มาตัดสินใจกันในพรรคอีกที
ส่วนคำถามถ้ามีการเรียกประชุมใหญ่ ส.ส. พรรคเพื่อไปย ก่อนวันที่1 ส.ค.ก่อน 1 อาทิตย์จริง แล้วฝ่ายตรงข้ามอาจจะเห็นว่า เป็นการเตรียมความพร้อมการเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง อาจสร้างความวุ่นวายในทางการเมืองอีกนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ฝ่ายค้านอย่าใช้จินตนาการมากเกินไป เพราะพรรคที่มีมวลชนก็ถือเป็นการขับเคลื่อนปกติของพรรคการเมือง เป็นการหารือกันว่าจะเดินไปในแนวทางไหน ซึ่งต้องดูข้อมูลที่ได้มาจากประชาชนอีกที
ส่วนกรณีที่สวนดุสิตโพล ทำโพลว่า ประชาชนส่วนใหญ่หนุน ให้มีการยุติพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องขอไปตรวจสอบก่อน