“ชูวิทย์” แฉครั้งสุดท้าย ปิดฝาโลง “เศรษฐา ทวีสิน” มั่นใจไม่ได้เป็นนายกฯ แต่หากได้เป็นก็อยู่ไม่เกิน 3 เดือน เชื่อ “ทักษิณ” กลับไทยเกี่ยวข้องกับการโหวต ลั่น พร้อมรับผิดชอบเรื่องที่แฉ

วันที่ 21 สิงหาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง จัดแถลงข่าวที่โรงแรมของตนเอง อ้างถึงพฤติกรรมนิติกรรมอำพราง EP.3 โยงถึง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย โดยนำโฉนดที่ดินกลางสุขุมวิท จำนวน 13 ไร่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยโฉนดที่ดินระบุชื่อ เด็กชายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่ง นายชูวิทย์ บอกว่าตอนนี้อยู่ในมือของตนเอง นายเศรษฐา พยายามซื้อคืน แต่ตนเองไม่ขาย ทำให้นายเศรษฐาโกรธ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อไปว่า พูดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและสาธารณะ ไม่เคยพูดเรื่องประเด็นส่วนตัว ยืนยันว่าที่แฉมาเป็นการคอร์รัปชัน ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของตัวเอง ซึ่งการที่ตนถูกโจมตี ย้ำว่าไม่เป็นปัญหา เพราะมีเอกสารทุกอย่าง และยินดีไปกรมสรรพากรเพื่อชี้แจง ส่วนการซื้อขายดินสุขุมวิท 12 เป็นที่ดินเปล่าจำนวน 12 ไร่ เดิมอยู่ในนามบริษัท ศ. ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท เมื่อต้องการขายที่ดินจำนวน 2 ไร่เศษ ซึ่งเจ้าของมีการจำนองไว้กับธนาคาร 1,000 ล้านบาท

ต่อมา วันที่ 11 มีนาคม 2559 บริษัท c. นอมินีซึ่งตั้งอยู่ที่ฮ่องกง แต่สัญชาติซามัว ซึ่งอยู่ใกล้นิวซีแลนด์ โดยนายชูวิทย์ อ้างว่ามี รปภ. ชื่อโชคชัย อยู่ที่ จ.มุกดาหาร เป็นนอมินี เป็นกรรมการผู้มีอำนาจถือหุ้น 51% ได้ไปซื้อหุ้นจากบริษัท ศ. และมีการปลดจำนองจากธนาคาร 1,000 ล้านบาท แต่มีการโอนหุ้นเปลี่ยนเป็นบริษัท c. ซึ่งเป็นบริษัทต่างด้าว ในวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2559

นายชูวิทย์ ยังระบุด้วยว่า ได้มีการส่งคนไปที่ฮ่องกงเพื่อตามไปดูบริษัทดังกล่าว พบว่าเป็นบริษัทผี ไม่มีคนทำงาน สภาพเหมือนแฟลต จึงตอกย้ำว่าคือบริษัทนอมินีชัดเจน พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการวางแผนคอร์รัปชันผู้ถือหุ้น พบข้อพิรุธเนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีการดำเนินการยังเป็นของคนไทยเมื่อวันศุกร์ แต่วันจันทร์เป็นบริษัทต่างด้าว และต่อมาบริษัทลูกของแสนสิริ คือ บริษัท พ. ไปซื้อที่ดินต่อ ในราคาเพียง 499 ล้านบาท

...

“หลังจากนั้นผมได้ไปตรวจสอบงบการเงิน ซึ่งพบว่าแสนสิริ ซื้อที่ดินมาในราคา 1,850 ล้านบาท ทั้งที่ลงในงบการเงินว่าซื้อไว้เพียง 500 ล้านบาท จึงอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าว ส่วนต่างซึ่งเป็นเงินทอนว่า 675 ล้านบาท จึงขอถามว่าหายไปไหน” 

พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดินบริษัทผู้ขายจะมีนอมินีเป็น รปภ. เป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นซื้อขาย ก็เพราะมีบริษัท รปภ. ชื่อบริษัท ม. ที่ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้น นายเศรษฐา จะอ้างว่าการซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องของผู้ขายไม่เกี่ยวกับตนเองไม่เป็นความจริง เพราะนายเศรษฐา เป็นคนที่ตั้งบริษัทนอมินีทั้งหมด จึงมองว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ การแฉครั้งนี้จะเป็นการแฉครั้งสุดท้าย และตนเองได้ส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้พิจารณาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (22 สิงหาคม 2566) และหวังว่า นายเศรษฐา จะรับทราบจากจิตสำนึกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ยังเชื่อว่า นายเศรษฐา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่หากได้เป็นจริง ก็จะอยู่ได้เพียง 3 เดือน และจะต้องเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีใหม่ทั้งหมด เพราะเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายเศรษฐา และคนรอบตัวการกระทำของตัวเอง มีเจตนาบริสุทธิ์ชัดเจน ส่วนใครที่จะโจมตี ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีและไม่ใช่นักการเมือง เพราะฉะนั้นไม่กลัว ซึ่งหลักฐานที่นำออกมาแฉตนเองจะรับผิดชอบทั้งหมด เพราะเป็นหลักฐานราชการ

ส่วนการกลับไทยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ นายชูวิทย์ มองว่า มีความเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าทำไมถึงกลับมาก่อนเวลาโหวต เพราะจะทำให้ตัวเองเป็นตัวประกัน ไม่ใช่คนคุมเกม แต่เชื่อว่า นายทักษิณ จะไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำเพราะมีดีลลับ เห็นได้จากการเตรียมโรงพยาบาลตำรวจ และโรงเรียนพลตำรวจบางเขน เอาไว้รับรอง

“ขอยืนยันว่า นายทักษิณ เป็นตัวประกัน ถ้านายทักษิณ ไม่กลับมานายทักษิณจะได้เป็นตัวคุมเกม แต่ปรากฏว่านายทักษิณเลือกกลับ แล้วร้อยวันพันปีไม่กลับ” ก่อนจะตั้งคำถามว่า “แล้วทำไมไม่กลับวันที่ 23 หรือ 24 สิงหาคม 2566 ทำไมถึงอ้างว่าฤกษ์หมอดูดีในวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกฯ วันที่ 22 สิงหาคมนี้ ร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วคุณก็ยังหลอกชาวบ้านว่าไม่เกี่ยวๆ ผมขอถามว่าแล้วมันไม่เกี่ยวตรงไหน”

ก่อนที่ นายชูวิทย์ จะกล้าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนพูดอะไรไว้มัน 90 กว่าเปอร์เซ็นต์หมดแล้ว แต่หากพูดผิดอีก 5 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นไร