ที่สุดแล้ว ครม.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่สามารถเปิดไฟเขียวได้อย่างสะดวกโยธิน กรณี น่าซ่าของสหรัฐ ติดต่อ ขอใช้พื้นที่ สนามบินอู่ตะเภา จังหวัดระยอง ในโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อภูมิอากาศของอาเซียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในเรื่องวิทยาศาสตร์
แล้วก็เป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ใช้ภาวะผู้นำ ออกมาแถลง ว่า ครม.ได้มอบหมายให้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ไปชี้แจงกับทางสหรัฐฯ เชื่อว่าสหรัฐฯ จะเข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของเรา ส่วนที่ถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อผ่านการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรตาม รธน. มาตรา 179 แล้ว จะทำให้สหรัฐฯ มาดำเนินการตามคำขอ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อได้มีการชี้แจงต่อรัฐสภาแล้ว ที่ประชุม สื่อมวลชน และประชาชนจะเห็นเป็นอย่างไร เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นผลประโยชน์ของชาติ เรียนว่า รัฐบาลจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายผ่านการเห็นของ ครม.ขึ้นไปเช่นกัน
"ยังมีหลายท่านที่มองว่าเป็นเรื่องคิดเห็น ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ที่ผ่านมามีข้อกล่าวหาที่รุนแรงอย่างนี้ คงไม่มีใครบอกว่ารีบเดินหน้าโดยไม่ฟังข้อคิดเห็น เพื่อที่จะยืนยันว่า รัฐบาลถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และพร้อมที่จะใช้กลไกของรัฐสภาในการตรวจสอบความถูกต้อง และประโยชน์ของชาติ
...
ขณะที่เหตุใดไม่เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญก็ยังไม่ทัน เพราะโครงการนี้มีเงื่อนเวลาที่สหรัฐฯ ให้ไทยให้คำตอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย และสามารถรอได้แค่สิ้นเดือน มิ.ย.นี้" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
นายกฯ ยังไม่ลืม ออดอ้อนขอให้ประชาชน เป็นผู้พิจารณาจะดีกว่า เราคงไม่อยากให้ความเห็นตรงนั้น
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ แจงยาวเหยียด ยอมรับมีความกังวลในความเข้าใจของสังคมและประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฝ่ายค้านพยายามทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ดึงศัตรูเข้าบ้าน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทยกับจีน ฉะนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาร้ายแรงที่ ครม.รับไม่ได้ว่า รัฐบาลหรือ ครม.ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ หรือขายชาติ ครม.จึงมีมติขอนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เพื่อชี้แจง ข้อเท็จจริงทั้งหมดให้สังคมไทยเข้าใจร่วมกัน เเละ ครม.ยังมอบให้ตนแจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยืนยันความร่วมมือทางวิชาการและวิทยาศาสตร์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาต่อไปในอนาคต
“เรื่องนี้ต้องนำเข้าสู่รัฐสภาโดยไม่เปิดประชุมสมัยวิสามัญ จะดำเนินการตามขั้นตอนปกติ รัฐสภาเปิดสมัยประชุมในช่วงเดือน ส.ค.เรื่องนี้จะนำเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาร่วมกัน แต่น่าเสียดายว่านาซา จะศึกษาเรื่องนี้ในช่วงมรสุมคือเดือน ส.ค.กับ ก. ย. นี้ ไม่น่าที่จะสำรวจการก่อตัวของเมฆร่วมกันได้ทัน เป็นการเสียโอกาสและประโยชน์ไทยที่จะได้รับ เพราะมีการเล่นการเมืองโดยฝ่ายค้านแบบเกินไป เรื่องนี้ มีคนพร้อมยื่นให้ศาลตีความอยู่แล้ว เมื่อยื่นเรื่องแล้วศาลรับเรื่องก็ต้องหยุด และดำเนินการไม่ทันอยู่ดี และแม้หลังจากนี้จะทำการเปิดประชุมสมัยวิสามัญพิจารณาเรื่องนี้ก็คงไม่ทันเหมือนกัน ถือว่าเสียโอกาส อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาก็เป็นช่องทางที่ดี จะได้มีการพูดคุย และความจริงเรื่องนี้เริ่มต้นสมัยรัฐบาลที่แล้ว ไม่ใช่เกิดในสมัยรัฐบาลนี้
สำหรับการที่ ครม.ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 179 แทนมาตรา 190 วรรคสองนั้น เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแนะนำว่าใช้มาตรา 179 ก่อน เพราะหากใช้มาตรา 190 จะกว้างไป แต่หากรัฐสภาพิจารณาตามมาตรา 179 แล้วยังไม่ถูกต้องครบถ้วนอีก ก็พิจารณาเรื่องนี้ตามมาตรา 190 ได้ไม่มีปัญหา” นายสุรพงษ์กล่าว รมว.การต่างประเทศ ยังไม่ลืมที่จะต่อว่า ฝ่ายตรงข้ามว่า เล่นการเมืองมากจนเกินไปหรือไม่?
มาดูฝ่ายค้าน อย่าง ปชป.บ้าง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าทีของ นายสุรพงษ์ รมว.การต่างประเทศ หลังจากที่ได้เชิญทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบว่า มีหลายเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตเป็นความจริงทั้งสิ้น เพราะข้อเท็จจริงที่หลั่งไหลออกมา หลังจากที่ฝ่ายค้านค่อยๆ เปิดทีละประเด็น เรื่องนี้จะไม่เป็นการเมืองเลย ถ้ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล้าที่เปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส และรัฐบาลไม่หยิบเรื่องนี้มาเป็นเรื่องการเมืองเสียเอง เช่น กรณีที่ตนเปิดเผยว่า เว็บไซต์นาซา ระบุว่ามีการขนอุปกรณ์จากสหรัฐฯ มาที่ประเทศไทยในวันที่ 18 พ.ค. 55 ซึ่งที่สุดก็ยอมรับแล้วว่า อาจเป็นการขนจากทางสหรัฐฯ เอง และยอมรับว่ากรณีนี้ อาจจะเข้าข่าย ม.190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้านายสุรพงษ์ ยอมรับ เรื่องนี้ก็จะไม่บานปลายมากเท่านี้ แต่มายอมรับเพราะถูกจับได้ จนดิ้นไม่หลุด กระทั่งต้องโยนเรื่องนี้เข้าสภา
นายชวนนท์ ยังกล่าวต่อว่า หลังจากเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าพบกับนายสุรพงษ์ ก็มีการยอมรับว่า จีนมีความกังวล แต่ก่อนหน้านี้ นายสุรพงษ์ เองเคยยืนยันมาตลอดว่า กรณีของอู่ตะเภานี้ จีนไม่มีปัญหา เรื่องนี้ไม่ใช่การตีรวนของฝ่ายค้าน แต่เป็นเพราะรัฐบาลหมกเม็ด ปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งหากโครงการต้องพับลงไป ก็เพราะรัฐบาลเอง ที่ไม่เปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่แรก จนทำให้เกิดความหวาดระแวง และการปกปิดข้อมูลก็ทำให้เรื่องบานปลายยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นายสุรพงษ์ ต้องทบทวนบทบาทหน้าที่ของตัวเอง
"ยืนยัน ได้รับข้อมูล และมีหลักฐานว่า การเริ่มต้นของโครงการ มิใช่เริ่มจากการลงนามของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2553 โดยประธานจิสด้าและตัวแทนนาซา ตามที่รัฐบาลนี้ได้กล่าวอ้าง แต่ข้อเท็จจริงกลับมีการริเริ่ม โดยการเข้าหาของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ในช่วงเดือน มี.ค. 2554 ที่ทำหนังสือมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ ให้เข้าร่วมโครงการสำรวจภูมิอากาศ" โฆษก ปชป. กล่าว
นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า มีหลักฐานว่า นายสุรพงษ์ เองก็ทราบดีว่า เป็นการริเริ่มจากสหรัฐฯ โดยตรง ซึ่งมีการประชุมระหว่างหน่วยงาน ที่กระทรวงการต่างประเทศถึง 5 ครั้ง นายสุรพงษ์ ทราบทุกขั้นตอน รวมถึงการขนอุปกรณ์ของนาซา ล่วงหน้า เพราะยอมรับว่า ต้องใช้เวลาราวสองเดือนในการขนส่งอุปกรณ์นาซา มาทางเรือ เท่ากับว่าตามปฏิทินของนาซา อุปกรณ์ขนออกมาตั้งแต่ 18 พ.ค. 55 ก็จะมาถึงไทยตามกำหนดการที่จะดำเนินโครงการนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน พอดี
“มีการแอบตกลงเบื้องหลัง ให้คำมั่นสัญญาเกินขอบเขตอำนาจของ รมว.การต่างประเทศหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการสืบสวนต่อไป การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ที่เตรียมจะแถลง โดย ครม.อาจจะมีการอนุมัติเรื่องดังกล่าว เป็นเพราะมีใบสั่งให้เดินหน้าลุยหรือไม่ ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน และหากไม่มีการดำเนินโครงการนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ฝนหยุดตกหรือตกมากขึ้น” นายชวนนท์ ตั้งข้อสังเกต
ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ จะเดินทางไปดูไบ หลังจากนี้ โฆษก ปชป. กล่าวว่า ถ้าบินไปก็ต้องตรวจสอบว่ามีการใช้ภารกิจบังหน้า เพื่อไปตอบสนองความต้องการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา นายสุรพงษ์ มีพฤติกรรมใช้อำนาจหน้าที่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้วหลายครั้ง
นี่ก็คือ ภาพรวมที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ได้กลายเป็นเกมการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นทั้ง 2 ขั้ว ถึงตอนนี้ต่างก็มีหน้าที่ ต้องตอบข้อสงสัยของสังคมให้ได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ทั้งฝ่ายค้านที่ถูกกล่าวหาว่าเล่นการเมืองเกินไป จนอาจทำให้สังคมไทยเสียประโยชน์ ที่จะได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศมาแก้ปัญหาน้ำท่วม
กับอีกฝ่าย รัฐบาลเพื่อไทย ก็ต้องไขข้อข้องใจเช่นกัน มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงอยู่ตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหาหรือไม่? ข้อสงสัยหากไทยให้นาซ่าเข้ามาแล้ว ท่าทีของจีนจะเป็นอย่างไร จะเป็นเหมือนการ" ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน หรือไม่"
รวมถึงเหตุใด นายสุรพงษ์ ถึงต้องรีบบินไปเมืองดูไบทันที หลังดัน กรณีนาซาเข้า ครม. เรื่องนี้มันจะไม่เป็นที่สะดุดใจ หากนายนพดล ปัทมะ ซึ่งใครๆ ก็ทราบว่า มีความสนิทสนมกับ "นายใหญ่" มากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก รายงานความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าตอนนี้กำลังบินออกจากประเทศใด ไปกินข้าวเที่ยงกับ ปธน.ประเทศไหน แล้วจุดหมายสุดท้ายก็กลับดูไบ วันเดียวกับที่ รมว.กต. มีข่าวออกมาว่า จะบินไปที่เดียวกัน มันก็เลยอดสงสัยไม่ได้...
และช่วยไม่ได้อีกเช่นกัน ประเทศไทยที่เข้าสู่ช่วงฤดูมรสุมฝนตกหนัก และวันที่ 1 ส.ค.นี้ รัฐบาลก็จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ หากให้ดูกันตามหน้าเสื่อเชื่อแน่ว่าการเมืองในประเทศ จะปรากฏความร้อนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย มีประเด็นรอไล่ถล่ม รัฐนาวายิ่งลักษณ์ลำนี้ไม่ขาดสาย ทั้งเรื่อง นาซาขอใช้อู่ตะเภา,ร่างแก้ไข รธน.,พ.ร.บ.ปรองดอง ,และการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน หากรัฐเดินเกมการเมืองแบบไม่ระมัดระวัง มีเป้าหมาย หรือผลประโยชน์แอบแฝงไม่จริงใจ อย่างที่หลายฝ่ายออกมากล่าวหา ระวังอาจถึงขั้นต้องอับปางก็เป็นได้...