“ธรรมนัส” ประกาศชัด พรรคพลังประชารัฐไม่ส่งชิงนายกฯ รัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่โหวตหนุนพรรคแก้ ม.112 เด็ดขาด ชี้ หากโหวตรอบแรกไม่ผ่าน ควรเป็นพรรคอันดับ 2 มอง “บิ๊กตู่” วางมือการเมือง คงคิดละเอียดแล้ว
วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงภายหลังการประชุมพรรค ว่า พลังประชารัฐมีการประชุมพรรค โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พร้อมทั้งคณะกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ส.ส. และทุกฝ่ายเข้าร่วม โดยสาระสำคัญ ได้แก่
1. การเลือกผู้แทน ซึ่งเป็น ส.ส. พลังประชารัฐ ในการทำหน้าที่ประสานกับพรรคอื่นๆ ซึ่งเวลานี้ยังไม่รู้ว่าพรรคเราอยู่ในสถานะใด โดยผู้ทำหน้าที่ประสานดังกล่าว มีตนเป็นประธาน นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร เป็นรองประธานคนที่ 1 นายอรรถกร ศิริลัทยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา รองประธานคนที่ 2
2. พรรคพลังประชารัฐ มีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่เสนอผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยใช้เสียงข้างน้อยอย่างเด็ดขาด
3. พรรคพลังประชารัฐจะไม่โหวตให้กับผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายในการแก้ไขมาตรา 112 อย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวถามต่อไป หมายความว่าถ้าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐจะไม่โหวตให้ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า “ไม่ว่าท่านใดก็ตามที่มีนโยบายเกี่ยวข้องกับแก้ไขมาตรา 112” เมื่อถามอีกว่ามีการเตรียมไว้หรือไม่ หากไม่สามารถโหวต นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มี ส.ส.อยู่ลำดับที่ 4 ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปหากเกิดอะไรก็ตามขึ้น เราต้องให้พรรคที่มีเสียงรองลงมาในการจัดตั้งรัฐบาล
...
เมื่อถามอีกว่าหากพรรคที่มีเสียงรองลงมา มาติดต่อพรรคพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคก้าวไกล ก็สามารถที่จะทำงานด้วยกันได้ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส บอกว่า ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.อีกครั้งเพื่อขอมติพรรค ส่วนคำถามว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐจะโหวตให้หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “อย่างที่เราพูดมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม หากมีนโยบายชัดเจน ไม่แตะมาตรา 112 พรรคเราก็มีนโยบายชัดเจนว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ยกเว้นในเรื่องการแก้มาตรา 112 เท่านั้น”
ทั้งนี้ จากประสบการณ์ทางการเมือง มองว่าการโหวต นายพิธา ในวันที่ 13 กรกฎาคม จะผ่านหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ต้องไปดูเสียงส่วนใหญ่ในสภา เพราะเสียงในสภามี 750 เสียง ไม่ใช่ 500 เสียง เมื่อถามว่า ในวันที่ 13 กรกฎาคม จะมีมวลชนมากดดันด้วย ห่วงหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า จากประสบการณ์ทางการเมือง เรื่องของรัฐสภา ซึ่งประกอบไปด้วย ส.ส. และ ส.ว. 750 คน ที่จะลงฉันทามติในเสียงของเขาว่าจะเลือกใคร “จะให้ได้ดั่งใจมันคงเป็นไปไม่ได้ มันต้องยึดตามหลักกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เราเคารพเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา” เมื่อถามต่อไปว่ามวลชนที่มากดดันหากมีความวุ่นวายจะดำเนินการอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส เชื่อว่า ใช้เวลาในการแก้ปัญหา เป็นเรื่องปกติที่เอฟซีตัวเองจะผิดหวัง แต่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ซึ่งต้องใช้เวลา
ขณะที่คำถามว่า เป็นห่วงม็อบหน้ารัฐสภาวันที่ 13 กรกฎาคม หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ตอบว่า เป็นเรื่องปกติที่จะมีม็อบ แต่การชุมนุมถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเราคงจะไปห้ามประชาชนไม่ได้ เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงต้องดูดีๆ จะไปใช้ความรุนแรงไม่ได้เด็ดขาด เขามาแสดงจุดยืนของเขา เราต้องฟังความเห็นของเขาด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคง เน้นย้ำว่าห้ามใช้ความรุนแรงกับประชาชนเด็ดขาด
สำหรับประเด็น ควรที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีให้จบภายในครั้งเดียวใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นกลไกของรัฐสภา ส่วนตัวก็อยากให้จบในทีเดียว แต่เมื่อไม่จบก็ต้องให้เวลา เช่นเดียวกันทุกอย่างต้องใช้เวลา ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ควรที่จะมีเงื่อนไขมากกว่าครั้งแรกหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส บอก สมมติว่าครั้งแรกไม่ผ่าน ก็ต้องให้โอกาสพรรคอันดับ 2 ในการรวบรวมพรรคร่วม ถ้าพรรคอันดับ 2 ไม่ผ่าน ก็ให้พรรคอันดับ 3 ฉะนั้น เราจะไม่มีการแทรกแซงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นนโยบายของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรคที่เรามีฉันทามติเป็นอย่างนี้
ร.อ.ธรรมนัส ตอบคำถามกรณีหากครั้งแรก นายพิธา โหวตไม่ผ่าน ไม่ควรมีชื่อครั้งที่ 2 แล้วใช่หรือไม่ ว่า ตนหมายความว่าหากที่สุดแล้วพรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 ไม่ผ่าน ก็ให้พรรคอันดับ 2 ไปจัดการ อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเรื่องนี้มีข้อบังคับของรัฐสภาอยู่ สื่อมวลชนจึงถามย้ำว่าถ้าพรรคอันดับ 2 มีปัญหา จะตกมาที่พรรคอันดับ 3 และพรรคอันดับ 4 หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ตอบว่า “มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น”
หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่า พล.อ.ประวิตร มีโอกาสที่จะชิงนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “เราอย่าไปพูดอย่างนั้น เอาประเด็นอันดับ 1 ผ่านหรือไม่ผ่านก่อน และจะเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยดำเนินการต่อไป” เมื่อถามว่าในการโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน จะเสนอชื่อซ้ำในรอบ 2 ได้หรือไม่ “เป็นเรื่องของประธานรัฐสภา ซึ่งมีกฎหมายอยู่ เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะไปคุยกัน วันนี้ในที่ประชุมก็มีการเอาประเด็นนี้มาพูดคุยกัน โดยวันที่ 12 กรกฎาคม คงจะมีชัดเจนมากขึ้น”
นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคพลังประชารัฐจะร่วมมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายชัดเจนว่าเราจะอยู่ของเรา จะไม่ไปก้าวก่ายกิจกรรมหรือกิจการของพรรคอื่นเด็ดขาด ขณะที่คำถามมองอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “เรื่องนี้ท่านคงคิดละเอียดแล้ว”
เมื่อถามถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ตอบว่า เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค เราไม่ก้าวก่าย และจนถึงขนาดนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะไม่ฟรีโหวต แต่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด ซึ่งกรณีของ นายพิธา จะรอดูหน้างานก่อน แต่น่าจะงดออกเสียงเหมือน ส.ว.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายเมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร เน้นย้ำอะไรหรือไม่ในเรื่องของการโหวตนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส ให้คำตอบว่า เป็นนโยบายชัดเจน เราไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่จะเสนอแก้มาตรา 112 ส่วนจะงดหรือปฏิเสธค่อยว่ากันอีกที ซึ่งมติที่ประชุมให้ฟังตน อีกทั้งในวันดังกล่าวมีการเปิดโอกาสให้อภิปรายพรรคการเมืองละ 20 นาที โดยพรรคพลังประชารัฐมอบหมายให้ นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เป็นผู้อภิปราย ซึ่ง นายสัมพันธ์เป็น ส.สในภาคใต้ ก็จะเน้นเนื้อหาในส่วนเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน.