“รังสิมันต์ โรม” กำลังรวบรวมข้อมูลปมใช้เส้นสายในหลักสูตร กอส. ขอคนมีข้อมูลช่วยส่งมา ย้ำ สิ่งสำคัญต้องปฏิรูปตำรวจ ลั่น ภายใต้รัฐบาลก้าวไกล กำลังขาที่มีจงใช้เพื่อการจับโจร ไม่ใช่เพื่อพบนายหรือวิ่งกับนาย
เมื่อเวลาประมาณ 11.50 น. วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ตำรวจหญิงรายหนึ่งที่ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ และบุคคลที่บรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (หลักสูตร กอส.) และได้เลื่อนยศอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีการอ้างถึงการใช้เส้นสาย ว่า เป็นหลักสูตรที่เข้าใจว่าเดิมทีวางไว้สำหรับการเปิดรับคนที่มีวุฒิการศึกษาบางอย่างที่ทางตำรวจอาจจะเล็งเห็นว่าจะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ไปๆ มาๆ อาจจะไม่เป็นแบบนั้น
เมื่อไปดูจริงๆ จะเห็นคนที่ผ่านหลักสูตรนี้หลายคนมีนามสกุลดัง พ่อแม่อาจจะอยู่ในแวดวงต่างๆ มันก็คือการใช้เส้นสาย ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นตนเองได้รายชื่อของปี 2566 มาแล้ว คงต้องไปดูของปีอื่นๆ ก่อนหน้าด้วย เพื่อดูว่าหลักสูตรนี้ยังเป็นตามจุดประสงค์เดิม หรือเป็นการใช้เส้นสายเรื่องตั๋วชนิดหนึ่ง รวมถึงต้องดูต่อไปว่าหลักสูตรนี้มีการจ่ายเงิน รับสินบน ทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวถามต่อเรื่องการตรวจสอบว่าถึงขั้นไหนโดยเฉพาะเรื่องการรับสินบน นายรังสิมันต์ ตอบว่า ขณะนี้ยังเป็นเบื้องต้นอยู่ แต่ยอมรับว่าได้ยินปัญหาของหลักสูตรนี้มาสักระยะแล้ว อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล ตามที่โซเชียลมีเดียพูดถึงเรื่องนี้ได้รับทราบและตรวจสอบ พร้อมขอร้องพี่น้องตำรวจท่านใดหรือใครที่มีข้อมูลเรื่องนี้ช่วยส่งมา ทั้งนี้ เข้าใจว่าปกติการซื้อตั๋วทั้งหลายใช้เงินสด ตรวจสอบได้ยาก แต่ในความเป็นจริงถ้ามีหลักฐานที่เอามาใช้ได้ ก็ยินดีที่จะลุยเต็มที่
...
“เรายืนยันว่าวันนี้ถ้าเราอยากจะทำให้ตำรวจมีความเสมอภาคกัน มีความเท่าเทียมกัน อย่างตำรวจชั้นผู้น้อยหลายคนเขาก็จบปริญญาตรี มีวุฒิการศึกษาหลายๆ อย่างที่ผมเชื่อว่ามีคุณสมบัติไม่ได้แตกต่างกับคนที่เข้ามาผ่านหลักสูตร กอส. แต่ปัญหาที่เราเห็นเลยก็คือว่า บรรดาชั้นประทวนเหล่านี้เขาไม่เคยมีโอกาสแบบนี้ กลายเป็นว่าเขาต้องรอจนอายุ 53 ปีถึงจะได้ติดนายร้อย ซึ่งมันคือโอกาสของชีวิต คือการที่เขาจะได้เติบโต มันไม่มี พอมันไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ที่จะเติบโต ปัญหาที่มันตกอยู่ก็คือประชาชน เพราะถ้าตำรวจเขารู้สึกว่าทำดีไปก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา ไม่ได้ทำให้ตัวเขาสามารถเติบโตได้ มันก็ลดแรงจูงใจของคนที่อยากจะทำผลงาน อยากทำให้ตัวเองมีโอกาสในการเติบโต มันก็คงจะน้อยลง สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบด้านกลับไปที่ประชาชนไม่มากก็น้อย”
ส่วนคำถามว่ามีข้อมูลในมือมากน้อยแค่ไหนนั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า ประมาณหนึ่ง ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวม ถ้าสามารถทำได้ลึกถึงการเอาผิดคนที่อาจจะมีการเรียกรับเงินได้ ก็อยากทำแบบนั้น จึงอยากขอร้องคนที่มีข้อมูลในมือช่วยส่งมาในตนผ่านเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม หรืออีเมลในปรากฏในเฟซบุ๊กก็ได้ ตนเองยินดีที่จะเอาเรื่องนี้ไปดำเนินการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ทุกคน
สำหรับการพูดถึงว่ากรณีนี้ยิ่งกว่าตั๋วช้าง นายรังสิมันต์ มองว่าอาจจะอีกรูปแบบของตั๋วช้าง ซึ่งตั๋วช้างที่ผ่านมาอาจจะเรียกว่าคนที่เป็นตำรวจอยู่แล้ว และมีไม่เยอะคน แต่เรื่องนี้ก็มองว่าคือตั๋วชนิดหนึ่งในการที่จะเข้ามาเป็นตำรวจ ทำกันแพร่หลายและจำนวนมาก อีกทั้งได้ยินแว่วๆ ว่าหลักสูตรแบบนี้ไม่ได้มีแค่พ่อค้า เจ้าสัว ที่เราอาจจะคุ้นเคยเห็นหน้าในสังคม บางทีอาจจะเป็นพวกเว็บพนันหรือพวกทำผิดกฎหมายก็ได้ ส่งคนของตัวเองมาเป็นตำรวจ เป็นสายตำรวจ ทำให้สุดท้ายไม่สามารถปราบปรามอาชญากรรมได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจมาช้านาน คงต้องบอกว่านี่คือตั๋วตำรวจที่ทำให้คนมีชื่อเสียง คนดัง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไปจนถึงอาชญากรสำคัญๆ สามารถใช้ช่องทางนี้ในการให้คนของตัวเอง ลูกหลานของตัวเองมาเป็นตำรวจได้
ขณะที่ในฐานะพรรคก้าวไกลกำลังจะเป็นรัฐบาลจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร โฆษกพรรคก้าวไกล เผยว่าสำคัญที่สุดคิดว่าต้องปฏิรูปตำรวจ ซึ่งการปฏิรูปคงต้องแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะยาว โดยในระยะยาวต้องแก้พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกฎเกณฑ์กติกา ในระดับที่เป็น พ.ร.บ. ที่ต้องใช้เวลา เพราะต้องรับฟังความคิดเห็น พูดคุย และไม่อยากให้เป็นการแก้ไปแก้มา อีกทั้งล่าสุดก็เพิ่งแก้ เพิ่งมี พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ แต่มองว่ายังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม
ขณะที่ในระยะสั้นเรื่องกฎหมาย และอำนาจที่มีตามกฎหมาย คงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างความโปร่งใส ทำให้เกิดความเชื่อถือ ไว้เนื้อเชื่อใจ ที่สามารถทำได้ในหลายรูปแบบ อาทิ ตามหาคนทำตั๋วให้เจอ มีการรับเงินหรือไม่ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ไปจนถึงต้องตอบคำถามให้ได้เวลามีการแต่งตั้งโยกย้าย ว่าทำไมคนนี้ควรได้ หรือไม่ควรได้ วิธีการนั้นไม่ใช้ดุลยพินิจ 100% แต่ควรจะมาจากการรับฟังตำรวจด้วยกัน เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา ประชาชนที่ใช้บริการในพื้นที่ ไปจนถึงการแสดงวิสัยทัศน์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่ต้องมีอย่างเพียงพอ
“วันนี้เราต้องยอมรับว่าตำรวจจำนวนไม่น้อยต้องเอาเงินตัวเองไปเติมค่าน้ำมัน เติมน้ำหมึก ไปซื้อกระดาษ เพื่อมาทำงาน แล้วพอคุณโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันทำให้เขาต้องไปเป็นหนี้บุญคุณบรรดาห้างร้านต่างๆ หรือไม่ก็ต้องไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งสุดท้ายมันก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรตำรวจไม่สามารถปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจังได้ ดังนั้นผมคิดว่า ถ้าเราจะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจัง ระยะสั้นอาจจะต้องทำแบบนี้ไปก่อน แล้วผมคิดว่าการเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น การแสดงวิสัยทัศน์อะไรต่างๆ คงจะมีส่วนช่วยไม่มากก็น้อย ที่จะทำให้เกิดการตั้งหลักว่า ต่อไปนี้การวิ่งเต้นในยุคของรัฐบาลก้าวไกล กำลังขาที่คุณมีจงใช้เพื่อการจับโจร ไม่ใช่เพื่อมาพบนายหรือวิ่งกับนายอีกต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย นายรังสิมันต์ ยังเผยว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการคุยกันในคณะทำงาน แต่ก็มีหลายเรื่องในคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เกี่ยวข้องกับตำรวจอยู่แล้ว ตนเองอยู่ในคณะทำงานเกี่ยวกับยาเสพติด อย่างไรก็ต้องพูดถึงการปฏิรูปตำรวจ เพื่อส่งเสริมให้ตำรวจมีศักยภาพในการปราบปรามยาเสพติดได้.