เมื่อหลายปีก่อน เมื่อมีคนถามว่า ประชากรของไทยมีกี่คน แม้แต่ระดับผู้นำรัฐบาลก็มักจะตอบด้วยความเคยชินและเข้าใจผิดว่าไทยมีประชากร 70 ล้านคน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันต่อมา สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงเปิดเผยข้อมูลใหม่ว่ามีเพียง 66 ล้านคน เนื่องจากอัตราการเกิดของเด็กไทยลดลงมาหลายปี
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อต้นปี 2565 ระบุว่า เมื่อปี 2564 มีเด็กเกิดใหม่ 540,000 คน ลดลงจากอัตราการเกิดของเด็กไทยในช่วงปี 2536 ถึง 2539 มีเด็กเกิดเพิ่มขึ้นถึงปีละ 9 แสนคน ถึง 1 ล้านคน ที่น่าตกใจก็คือ จำนวนผู้เกิดใหม่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ตายในแต่ละปี คือ 563,650 คน
เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติเกี่ยวกับประชากรอย่างรุนแรง ไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในอัตราที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานจะต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น แต่มีปัญหาที่แก้ไม่ตกแรงงานจากเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และ กัมพูชาไม่สามารถเข้าออกได้โดยเสรี
จึงเกิดปัญหาการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าไทย แรงงานถูกกดขี่ ขูดรีดอย่างไม่เป็นธรรม นักวิชาการเชื่อว่าถ้าไทยไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องคนเกิดน้อย จำนวนประชากรจะลดลงอย่างรวดเร็ว ต่อไป เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลปัจจุบันไม่มีนโยบายเรื่องประชากร ปล่อยให้การเกิดการตายเป็นไปตามธรรมชาติ
ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ พัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากจะขาดแคลนแรงงานแล้ว ยังขาดแคลนแรงงานด้านเทคโนโลยีที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ในทางเศรษฐกิจประเทศไทยอาจต้องจมปลักอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ที่เป็นมาแล้วหลายทศวรรษ จะเป็นต่อนานเท่าใด
พรรคการเมืองหลายสิบพรรคที่กำลังแย่งกันเป็นรัฐบาลก็ดูเหมือนจะไม่มีพรรคใดที่ประกาศนโยบายด้านประชากรอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่มักจะเน้น นโยบายประชานิยม ลดแลกแจกแถม เพื่อหาเสียงเฉพาะหน้า จึงขอเรียกร้องให้พรรคต่างๆประกาศนโยบายให้ชัดเจน อาจจะต้องประกาศปัญหาประชากรเป็น “วาระแห่งชาติ” แต่ต้องทำให้สัมฤทธิผล ไม่ใช่แค่สัญญาลมๆแล้งๆ
...
รัฐบาลอาจต้องทำการรณรงค์ วิงวอนให้ประชาชนแสดงความรักชาติ ด้วยการช่วยกันเพิ่มผลผลิตประชากรไทย ที่มีคุณภาพและต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างดี ทั้งด้านสุขภาพ การศึกษา ก้าวสู่สังคมผู้มั่นคงมั่งคั่งตัวจริง.