"สมศักดิ์" แจงยาเสพติดไม่ได้ระบาดหนัก ชี้ตัวเลขสามเหลี่ยมทองคำลด 20% ผู้ต้องหาลดแสนราย ทำลายสถิติยึดทรัพย์กว่า 9 พันล้านบาท ปลื้มต่างชาติมอบรางวัลหลังผลงานปราบยาเข้าตา เชื่อจากนี้คนไม่กล้าทำอาชีพค้ายาหลัง ก.ม.ใหม่เข้ม เผยยาบ้าถูกเม็ดละ 50 สต.เพราะเครื่องจักรพัฒนาปั๊มได้วันละ 4 ล้านเม็ด พร้อมอาสาลอกท่อช่วย กทม.ก่อนจ่ายทีหลัง หวังบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. ชวนร่วมไกล่เกลี่ยหนี้หลังช่วยไปแล้วกว่า 3.6 หมื่นราย
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.65 ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ยาเสพติดหลัง ส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายในสภาฯว่า ยาเสพติดยังระบาดหนักและมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก ว่า ที่ตนต้องลงมาแถลงข่าว เพราะไม่อยากใช้เวลาในการอภิปรายที่มีอย่างจำกัด แต่ด้วยปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ และมีการนำเสนอว่ายาเสพติดยังระบาดหนัก ตนจึงต้องรีบมาแถลงข่าว เพื่อป้องกันสังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน และไขว้เขวว่ายาเสพติดยังระบาดหนัก ทั้งที่แท้จริงนั้นรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขับเคลื่อนนโยบายจนยาเสพติดในประเทศไทย มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเห็นทิศทางของยาเสพติดลดน้อยถอยลงไป โดยมีสถิติและตัวเลขที่สามารถแสดงให้เห็นอย่างเปิดเผย แต่เข้าใจว่าที่ชุมชนหนาแน่นยังเห็นภาพยาเสพติดอยู่นั้น เพราะสถิติการลดลงพึ่งจะลดและชัดเจนในปีนี้ เนื่องจากเราระดมสรรพกำลังทั้งการป้องกัน ปราบปรามและการฟื้นฟู
...
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า เราได้จัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพื่อตัดวงจรเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด พร้อมเน้นการยึดอายัดทรัพย์สิน โดยจากเดิมยึดได้ปีละไม่เกิน 600 ล้านบาท แต่ปี 2565 ซึ่งยังไม่หมดปี เราสามารถยึดทรัพย์ได้แล้ว 9,337 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยมั่นใจว่าถึงเป้าอย่างแน่นอน รวมถึงมีความร่วมมือกับนานาชาติ 26 ประเทศ กับ 2 องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งได้ผลออกมายาเสพติดลดลง จนทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติด และอาชญากรรมต่างประเทศ ( FANC) ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะด้วยความทุ่มเทในการปราบปรามยาเสพติดที่ได้ผลเป็นรูปธรรม
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สถิติการจับกุมยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ลดลงกว่า 20% โดยปี 2564 จับกุมยาบ้าได้ 581 ล้านเม็ด ไอซ์ 26,645 กิโลกรัม แต่ปี 2565 ประมาณการว่าจับกุมยาบ้าเหลือ 456 ล้านเม็ด ไอซ์ 12,124 กิโลกรัม ส่งผลให้จำนวนผู้ต้องหาลดลงตามไปด้วย อย่างปี 2564 มีถึง 356,096 ราย แต่ปี 2565 ประมาณการว่าเหลือ 251,012 ราย ส่วนจำนวนคดียาเสพติดก็ลดลง ปี 2564 มี 341,864 คดี แต่ปี 2565 ประมาณการว่าเหลือ 273,924 คดี ส่วนคดีรายใหญ่ ปี 2564 มี 88,590 คดี แต่ปี 2565 ประมาณการว่าเหลือ 57,035 คดี พร้อมขอยกตัวอย่างคดีที่ด่านสกัด สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ หลังจับกุมยาบ้าและไอซ์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา จนสามารถขยายผลยึดทรัพย์ได้ถึง 2,800 ล้านบาท
"หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ ผมเชื่อว่าคนจะไม่กล้าทำอาชีพค้ายาเสพติดอย่างแน่นอน เพราะถูกยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ถึง 10 ปี และยังมีรางวัลนำจับถึง 5% จากมูลค่ายึดทรัพย์ให้ผู้แจ้งเบาะแส และ 25% สำหรับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นผมมั่นใจว่าจะไม่มีใครปล่อยยาเสพติดให้เล็ดลอดไปได้ เพราะเงินรางวัลมากกว่าที่จะได้สินบนจากผู้ค้ายา ต่างจากในอดีตที่คนยังเข้าใจว่าจับยาบ้าได้เม็ดละ 2 บาท แต่วันนี้เปลี่ยนเป็นเม็ดละ 50 สตางค์ และจ่ายครั้งละไม่เกิน 250,000 บาท เพราะต้นทุนยาบ้าแค่ 50 สตางค์เท่านั้นเอง ส่วนยาบ้าที่มีราคาถูกลงนั้น เพราะวันนี้ใช้สารเคมีไม่ได้ใช้พืชเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งผู้ผลิตมีเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมาก เมื่อก่อนผลิตได้วันละ 60,000 กว่าเม็ด แต่ปัจจุบันเครื่องหนึ่งผลิตได้วันละ 4 ล้านเม็ดถ้ามีหลายเครื่องก็เพิ่มกำลังผลิตขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นจากนี้ถ้าทุกคนเป็นสายให้กับทางการ ก็จะช่วยให้ยาเสพติดลดลงเร็วมากยิ่งขึ้น และมั่นใจว่ายาเสพติดจะลดลงอย่างชัดเจนภายใน 1-2 ปีนี้" นายสมศักดิ์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงนี้ กทม.ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากฝนตกหนัก กระทรวงยุติธรรม จะเพิ่มจำนวนผู้ต้องขังไปช่วยลอกท่อระบายน้ำหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราพูดคุยช่วยเหลือกันได้ เพราะเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ก็มาหารือกับตน อยากให้นำผู้ต้องขังออกไปบริการสังคมช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งตนคิดว่าในตอนนี้งบประมาณ กทม.อาจไม่เพียงพอ แต่ขอยืนยันว่า กระทรวงยุติธรรมพร้อมช่วยเหลือ เพราะเราไม่เน้นค่าใช้จ่ายมาก เนื่องจาก กทม.ก็ได้ให้โอกาสผู้ต้องขังในการจ้างงานลอกท่อถึง 530 กว่ากิโลเมตร ดังนั้นหากตรงจุดไหนมีปัญหาหนัก เราจะลงไปก่อนหรือทำงานไปก่อนแล้วค่อยจ้างทีหลังก็ได้ เพราะเราอยากไปช่วยเหลือเพื่อลดความเดือดร้อนให้กับประชาชน
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการอภิปรายในสภาฯ ถึงกรณีหนี้สินครัวเรือนของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยเหลือลดภาระให้ประชาชนในเรื่องนี้ เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมบังคับคดี และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยหนี้สิน ได้ทั้งก่อนฟ้องและหลังฟ้อง ผ่านการจัดงานมหกรรมการไกล่เกลี่ยหนี้สินทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้จัดมาแล้ว 50 ครั้ง สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 36,016 ราย มูลค่าหนี้ 7,955 ล้านบาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ 3,125 ล้านบาท โดยภายหลังการจัดงานครบทั่วประเทศแล้ว เราจะมีการจัดเวทีสุดท้ายที่ กทม.อีกครั้ง ในวันที่ 8-10 ก.ย.นี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ตกหล่น หรือบางรายที่อาจจะยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจัดโครงการนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการเงินเข้าร่วมกว่า 16 แห่ง อาทิ กยศ. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพ บริษัท โตโยต้า ลิสซิ่ง เป็นต้น ดังนั้นขอเชิญชวนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นหนี้ สามารถเข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้สินของกระทรวงยุติธรรมได้ หรือติดต่อสายด่วน 1111 กด 77