หัวหน้าพรรคก้าวไกล กังวลสงครามยูเครน-รัสเซีย ยืดเยื้อกระทบไทย เงินเฟ้อพุ่ง และค่าครองชีพประชาชน ติงท่าทีรัฐบาลสวนทางวิกฤติ อัด “ประยุทธ์” ให้ สมช.แก้เศรษฐกิจ ไม่ถูกต้อง
วันที่ 30 มิ.ย. 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังหนีสภาและไม่ส่งรัฐมนตรีมาตอบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนในสัปดาห์นี้ได้มอบหมายให้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้ ค่าครองชีพที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ล้วงไปในกระเป๋าก็หารายได้ไม่เจอ ราคาอาหาร หรือราคาค่าเดินทาง เหมือนเป็นกำแพงสี่ด้าน ที่ค่อยๆ บีบความเป็นอยู่ของประชาชนให้แคบลงเรื่อยๆ ขณะที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจฟุบเฟ้อ แม้ว่าจะอยู่ในรอยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากโควิด แต่ต้องยอมรับว่า ศักยภาพการฟื้นตัวของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐบาลและสถานการณ์ที่เจอ โดยประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ถึง 3 ลูกด้วยกัน
“ลูกที่ 1 เป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ความยืดเยื้อของสงครามยูเครนรัสเซีย ส่งผลกระทบถึงไทยแน่ ลูกที่ 2 เป็น zero covid ของประเทศจีน แต่คิดว่าใกล้ๆ นี้จะผ่อนคลายมากขึ้นและนักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมา ลูกที่ 3 คือช่วงที่เกิดเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีกับประเทศที่ค่าเงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 6 ปี ไม่น่าจะเป็นผลดีกับช่วงที่การเดินบัญชีดุลสะพัดติดลบ และไม่น่าจะเป็นผลดีกับประเทศที่หนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ นี่ก็คือความเร่งด่วนของปัญหา”
จากนั้น นายพิธา ได้ตั้งคำถามต่อนายกรัฐมนตรี 3 ข้อ โดยวางอยู่บนพื้นฐานของปัญหาค่าเงินเฟ้อ 7.1% ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงถึง 35% ทำให้ตอนนี้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาราคาสินค้า 3 หมวดใหญ่ (1) พลังงาน (2) อาหาร (3) ค่าเดินทาง ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายประชาชนเพิ่มขึ้น
...
“นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้แก้ปัญหาด้วยการยึดหลักการ 3 ข้อ ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ ช่วยคนเปราะบาง แต่บริบทของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลกับราคาพลังงานและมีแนวโน้มจะยาวนานเกิน 1 ปี จึงต้องถามว่ารัฐบาลวางแผนอย่างยั่งยืนไว้รองรับอย่างไร เพราะรัฐบาลวางแผนงบประมาณสำหรับวิกฤติพลังงานไว้เพียง 5 แสนล้านบาทเท่านั้น 2 แสนล้านใช้ไปแล้วในปีงบประมาณ และก็เป็นคำถามต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีได้ใช้งบประมาณไปอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง โดยเฉพาะการลดราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งปัจจุบันมีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลอยู่ 7.5 ล้านคัน จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดราคาแบบตีขลุม โดยจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณเพื่อความยั่งยืนได้ ขณะที่คนเปราะบางก็ไม่ได้ใช้น้ำมันดีเซล จึงต้องถามถึงความชัดเจนในแนวทางการจัดการของนายกรัฐมนตรี และแผนสำรองในการจัดการวิกฤติ หากเกิดวิกฤติพลังงานยาวนานต่อเนื่อง การลดราคาแบบตีขลุมจะมีความยั่งยืนหรือไม่”
นอกจากนี้ นายพิธา ยังตั้งคำถามถึงราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น สินค้าหลายอย่างขึ้นราคาภายในเดือนเดียวและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับบริบทประเทศที่ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
“ราคาเนื้อสัตว์พุ่งสูง สืบเนื่องจากอาหารสัตว์ขาดแคลนเพราะสงคราม แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือการให้บทบาทสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหลักในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งภายในคณะทำงาน สมช. กลับไม่มีทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ เลย เมื่อเป็นแบบนี้ สมช.จะสามารถแก้ไขวิกฤติพลังงานและวิกฤติราคาสินค้าได้จริงหรือ”