“อนุดิษฐ์” ขยี้ปม “ทัพเรือ” จัดซื้อโดรน UAV 4 พันล้าน แต่ไร้อาวุธติดตั้ง ติดใจ ไม่สนยุทธศาสตร์ชาติ เน้น ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ยัน สทป.ผลิตได้เหมือนกัน แถมราคาถูกกว่าเท่าตัว
วันที่ 8 มิ.ย. จากกรณีที่ พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ออกชี้แจงกรณีที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ถึงโครงการจัดหาอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ประจำฐานบินชายฝั่ง ของกองทัพเรือ วงเงิน 4,070 ล้านบาท ว่ามีความโปร่งใส และมีการแข่งขันราคาที่เป็นธรรมนั้น
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ต้องขอเน้นย้ำว่า ประเด็นที่ตนตั้งข้อสังเกตขึ้นมานั้น เป็นไปเพื่อปกป้องภาษีของพี่น้องประชาชนที่จะถูกใช้จ่ายไปอย่างไม่คุ้มค่า หรือที่แย่ไปกว่านั้นอาจเข้าข่ายการทุจริตประพฤติผิดมิชอบ จึงขอให้กองทัพเรือ ช่วยชี้แจงชัดๆ ก่อนว่า ในเมื่อกองทัพเรือระบุความต้องการจัดหา UAV ที่สามารถใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายได้ ทำไมจึงตัดเรื่องการส่งมอบอาวุธที่ต้องมาพร้อมกับ UAV ทิ้งไป เพราะการที่กองทัพเรือ อ้างว่า สามารถจัดหาอาวุธมาติดตั้งได้ภายหลังนั้น ย่อมย้อนแย้งกับความต้องการในการจัดหา UAV ติดอาวุธของตัวเอง เพราะขอเงินภาษีประชาชนกับสภาผู้แทนราษฎร โดยบอกว่า จะไปซื้อ UAV ติดอาวุธ 3 ลำ ด้วยเงิน 4,070 ล้านบาท แปลว่า กองทัพเรือต้องซื้อ UAV ที่สามารถปฏิบัติภารกิจโจมตีเป้าหมายได้ แต่สุดท้ายกลับไปเซ็นสัญญาซื้อ UAV จำนวน 7 ลำ แต่ไม่ซื้ออาวุธมาด้วย ซึ่งแปลความว่า หลังจากการจัดซื้อครั้งนี้แล้ว กองทัพเรือ ต้องตั้งงบประมาณเพื่อจัดหาอาวุธมาติดตั้งให้ UAV อีก
“แล้วคราวนี้ไม่ใช่ยอดแค่ 3 ลำ แต่ต้องจัดหาอาวุธมาให้ทั้ง 7 ลำ แล้วสภาฯ จะไปอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมให้อีกได้อย่างไร เพราะให้ไปตั้ง 4 พันล้านบาทแล้ว เพื่อไปซื้อ UAV ติดอาวุธ แต่กลับได้มาแค่ UAV ที่ไม่มีอาวุธ เพราะฉะนั้นคำถามของผม ตรงไปตรงมาแบบนี้ ขอให้กองทัพเรือช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วย” น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุ
...
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญไปกว่านั้น หากในอนาคตกองทัพเรือ ของบประมาณไปซื้ออาวุธมาติดตั้งเพื่อนำไปปฏิบัติภารกิจ แต่ประเทศผู้ขายปฏิเสธไม่ขายให้กับประเทศไทย กองทัพเรือช่วยตอบด้วยว่า จะให้ใครรับผิดชอบ UAV ติดอาวุธ ที่ปฏิบัติภารกิจไม่ได้ เรื่องนี้ต้องบันทึกไว้เลยว่า ตกลงใครต้องรับผิดชอบ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะซ้ำรอยกับเรือดำน้ำที่ซื้อเครื่องยนต์เยอรมัน มาติดตั้งไม่ได้ แต่ไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบให้เป็นไปตามสัญญา ส่วนประเด็นที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) มีเอกสารยืนยันว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการผลิต UAV ขนาดกลาง หรือ MALE UAV (Medium Altitude Long Endurance) ตาม TOR เดียวกันกับที่กองทัพเรือ ซื้อด้วยราคาที่ถูกกว่าเท่าตัวนั้น โดยกองทัพเรือซื้อจากต่างประเทศ 4 พันล้านบาท แต่ผลิตในประเทศ ราคาประมาณ 2 พันล้านบาท แต่กองทัพเรือชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบแล้วยังไม่มีบริษัทในประเทศเคยผลิต UAV ตาม TOR ที่กองทัพเรือต้องการนั้น แต่บริษัทของประเทศอิสราเอล ที่กองทัพเรือไทยสั่งซื้อ UAV นั้น วันแรกที่กองทัพอิสราเอลสั่งซื้อ UAV ลำแรกจากบริษัทนี้ ทางบริษัทก็ไม่เคยผลิต UAV แบบนี้มาก่อนเช่นกัน แต่บริษัทก็สามารถสร้างขึ้นมาตามความต้องการของกองทัพอิสราเอล โดยหลังจากบริษัทส่งมอบ UAV ลำแรก กองทัพอิสราเอลก็สั่งซื้อมาเรื่อยๆ จนอุตสาหกรรมด้าน UAV ของอิสราเอล เป็นสินค้าส่งออกไปหลายประเทศในขณะนี้
“การที่กองทัพเรือชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบแล้วยังไม่มีบริษัทในประเทศเคยผลิต UAV ตาม TOR ที่กองทัพเรือต้องการนั้น คำตอบเช่นนี้ไม่ควรออกมาจากกองทัพเรือได้เลย เพราะแปลว่า กองทัพเรือไม่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ที่เป็น S Curve ตัวที่ 11 ตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเลยแม้แต่น้อย กรณีที่ของประเทศอิสราเอล วันแรกที่กองทัพเขาสั่งกับบริษัทในประเทศ ก็ยังไม่มีการผลิตเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาสามารถผลิตแล้วจำหน่ายไปทั่วโลกแล้ว ถือเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของประเทศโดยแท้ เรื่องแบบนี้ทำไมกองทัพเรือถึงไม่เอาเป็นตัวอย่าง” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อไปอีกว่า คำชี้แจงของกองทัพเรือกำลังขัดแย้งกับ สทป.ที่บอกว่าสามารถสร้าง UAV ได้เองในประเทศ ทั้งๆ ที่กฎหมายต่างๆ ทั้งในระดับรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และกฎหมายลำดับรองต่างๆ ล้วนรองรับและกำหนดให้กระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ยุทธศาสตร์ชาติตามหน้าที่ของตนนั้น จะต้องเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสามารถด้านการแข่งขัน ช่วยเหลือประคับประคองประเทศที่อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเมื่อหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม เช่น สทป. และกองทัพอากาศ ได้ศึกษาวิจัยและมีเอกสารยืนยันว่าสามารถดำเนินการสร้าง UAV ภายในประเทศเองได้ ด้วยสามัญสำนึกของวิญญูชนทั่วไป กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือย่อมต้องใช้งบประมาณสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเราแทนที่จะไปอุดหนุนต่างประเทศอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้
“การที่กองทัพเรือมุ่งที่จะซื้อยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นยุทธปกรณ์ที่สามารถส่งเสริมและผลิตในประเทศได้ ย่อมเกิดคำถามกับสังคมทั่วไปถึงหลักนิยมและยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ที่ไม่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และยังเป็นที่สงสัยอีกด้วยว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่อย่างไร เหตุใดจึงไม่ช่วยเหลือประเทศชาติประชาชนและพึ่งพาตนเอง ทั้งๆ ที่สามารถดำเนินการได้โดยปราศจากอุปสรรค”
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะโจมตีใครทั้งสิ้น แต่ในฐานะผู้แทนราษฎรและจบการศึกษาจากสถาบันหลักทางทหารมาเช่นกัน เพียงแต่ต้องการให้กองทัพเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องประชาชน อย่าทำให้พวกเขาท้อแท้และสิ้นหวังภายใต้การบริหารงานของท่าน เพราะในเมื่อยุทธศาสตร์ กฎหมาย และนโยบาย กำหนดไว้ชัดเจน บวกกับขีดความสามารถในประเทศ ที่มีความพร้อมตามที่หน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหมชี้แจง ทำไมจึงสร้างเงื่อนไขเพื่อเอื้อให้กับต่างชาติ และกีดกันคนไทย และเมื่อซื้อจากต่างประเทศแล้วทำไมไม่จัดหามาให้พร้อมปฏิบัติภารกิจได้เลย จึงขอให้ผู้รับผิดชอบช่วยชี้แจงให้เกิดความกระจ่างด้วย