การเมืองเป็นเรื่องของการ “ต่อรอง” ชั่วโมงนี้รัฐบาลเจอลองของ ต่อรองหนักเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะบารมีถดถอย หรือศรัทธาเสื่อมทรุด ยิ่งประกอบกับจังหวะเข้าโค้งหักศอก

ช่วงสุดท้ายปลายเทอมรัฐบาล อะไรๆมันก็ประดังเข้ามาเต็มไปหมด โดยเฉพาะ “ปัญหา” หลายคนฟันธงอยู่ไม่ครบ 4 ปี เต็มที่ก็ปลายปีนี้ หรืออย่างเร็วกลางปีอาจมีเหตุต้อง “ยุบสภา” เห็นสัญญาณอาการ ปัจจัยแวดล้อมแล้ว ถึงไม่ใช่คนหูเบาก็ยังต้องเชื่อคล้อยตาม

รัฐบาลตกอยู่ในภาวะขาลงยาวนาน กระแสมีแต่ทรงกับทรุด ค่าครองชีพแพง ของแพง น้ำมันยังแพงอีก

ม็อบรถบรรทุกมาตามนัดขับไล่ รมว.พลังงาน ยื่นคำขาดตรึงราคาดีเซลที่ 25-27 บาท

7 วันไม่คืบหน้าขู่ขยับขึ้นค่าขนส่ง 15-20% ส่วนเครือข่ายแท็กซี่ก็เอาด้วย จี้ลดราคาแก๊สเอ็นจีวีเหลือ 10 บาท แอลพีจีเหลือ 9 บาทต่อกิโลกรัม

อยู่เฉยไม่ไหว ชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น จากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำซ้ำเติมด้วยโควิด แต่ยังต้องมาเจอปัญหาราคาน้ำมันแพงอีก จากที่อดมื้อกินมื้อ ต้องอดเพิ่มอีกหลายมื้อ

...

ยังไม่นับรวมประชาชนอีกหลายกลุ่มที่เดือดร้อน แต่ขาดการดูแลเยียวยาจากภาครัฐ

น่าหวั่นใจ วิกฤติม็อบลุกลาม ต้องตามแก้ไม่จบ

คนหาเช้ากินค่ำหมดความอดทน คนในรัฐบาลก็หมดความเกรงใจ

ประชุม ครม.ล่าสุด 7 รัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทย “บอยคอต” ไม่เข้าร่วมด้วย พร้อมส่งหนังสือชี้แจงสาเหตุชัดเจน ไม่ขอร่วมสังฆกรรมต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง วาระขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คาราคาซังกันมาตั้งแต่ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ จนถึงวันนี้ก็ยังปิดจ๊อบไม่ลง

งานนี้ทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เลยทำได้แค่ให้ ครม.รับทราบ และตอบกลับข้อสงสัยกระทรวงคมนาคมให้เคลียร์ก่อน

ผู้นำนั่งหัวโต๊ะถึงกับเปรยเซ็งๆ “วันนี้พิสูจน์แล้วใครเป็นอย่างไร” พร้อมประกาศลั่นประชุมนัดหน้าเคาะแน่นอน ออกอาการขุ่นเคืองแบบสุดๆ

แต่แว่วว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยในวันประชุม ครม.22 ก.พ.

บทสรุปตอนจบเรื่องนี้เป็นยังไงเดาไม่ยาก

แม้ “มหาดไทย” จะตอบไปให้ตายยังไงๆ “ค่ายเซราะกราว” ก็ไม่เอาด้วยอยู่ดี อยู่ที่ว่า “ลุงตู่–ลุงป๊อก” จะตัดสินใจลุยไฟเมื่อไหร่แค่นั้น

เดิมทีเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทย โดย “บิ๊กป๊อก” ชงเข้า ครม.มาแล้ว 7 หน แต่มีอันต้องเลี้ยวกลับคลองหลอดทุกที เพราะภูมิใจไทยที่กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม แยกเขี้ยวเข้าใส่ ค้านตลอด

ประเด็นของกระทรวงมหาดไทยอยู่ที่ “หนี้” กทม.ค้างจ่ายเอกชนอยู่มากกว่า 3 หมื่นล้าน ต้องแก้สัญญาพ่วงต่อสัมปทานชดเชย จะได้ไม่ต้องควักตังค์จ่าย

ปล่อยให้เอกชนรายเดิมที่ค้าขายกันมานานดูแลต่อไปอีก 30 ปี

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วย อยากให้ใช้หนี้จบๆไป แล้วเปิดประมูลแข่งกันใหม่ หวานเจี๊ยบกระทรวงหูกวาง ที่กำกับดูแล รฟม.

ชั่วโมงนี้อย่างที่ว่าไว้รัฐบาลใกล้หมดวาระ ต้องแยกย้ายกันไปเลือกตั้ง เรื่องกระสุน กระแส สำคัญกว่า “เพื่อนกิน” หมดเวลาเกรงใจกันแล้ว

เลยปฏิบัติการหักหน้า ประจานกันกลาง ครม.

งานนี้กล้าเล่นใหญ่ จัดหนัก เพราะได้ประชาชนหนุนหลังปั่นกระแสเรื่องค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสายแพงเกินไป รับไม่ได้ต้องใช้หนี้ให้จบๆแล้วดึงเข้า รฟม.ดูแลตามแผน

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเสียง ส.ส.รัฐบาลเหลือเฟือ “ค่ายเซราะกราว” อาจโดนดีดทิ้ง ขับออกจากร่วมรัฐบาล ไม่ต่างจากเคสของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช.เกษตรฯ ที่โดนปลดฟ้าผ่าจากตำแหน่ง รมต.

ตามสไตล์ “ยอมหักไม่ยอมงอ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว

แว่วว่าคนที่เดือดดาลไม่แพ้กันคือ “เจ้าสัวใหญ่” แค้นฝังหุ่นไขเซฟทุ่มทุนแต่งพรรคลุยเลือกตั้ง วางเป้าร่วมรัฐบาลที่ต้องไม่มี “ภูมิใจไทย” เด็ดขาด

สภาพรัฐบาลง่อยเปลี้ย ตกเป็นเบี้ยล่างเกมต่อรอง ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่พรรค “เศรษฐกิจไทย”

“บิ๊กตู่” จะประคองตัวไปได้อีกนานแค่ไหน แต่ยิ่งอยู่นานไปสนิมเนื้อในยิ่งกัดแทะ ผุพังเสียหายจนใช้การไม่ได้ และอาจปิดฉากความฝันหวนคืนเก้าอี้ผู้นำ.

ทีมข่าวการเมือง