หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มั่นใจเลือกตั้งรอบหน้า ได้ไม่ต่ำ 253 เสียง เชื่อไม่มีการเมืองแอบแฝงฝ่ายค้านทำงานร่วมกันได้ แนะ “บิ๊กตู่” ลงอย่างสวยงาม ควรลาออกก่อน 23 ส.ค. 65 ยันยื่นศาลรัฐธรรมนูญแน่

วันที่ 31 ธ.ค. 2564 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แสดงความมั่นใจเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคพลังประชารัฐ จะได้ส.ส.เข้ามาอีกจำนวนมาก ว่าเป็นความเห็นของเลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ คงไม่มีใครบอกว่าจะได้ส.ส.น้อยลง แต่จะเป็นไปเช่นนั้นหรือไม่ต้องดูบริบทในการเลือกตั้งทั้งหมด ต้องถาม ร.อ.ธรรมนัส ว่ามีเหตุผลอะไรสนับสนุนความเชื่อนี้ ตนเองไม่ขอก้าวล่วงความเห็นของพรรคการเมืองใดๆ แต่มองว่าสิ่งที่ร.อ.ธรรมนัสพูด เป็นประเด็นให้เราหันกลับมามองตัวเองว่าเราทำงานหนักพอแล้วหรือยัง ที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรคเพื่อไทยตระหนักตลอดเวลาว่าถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ต้องลบภาพจำที่เกิดขึ้นตลอด 7 ปีที่ผ่านมาออกจากความทรงจำของประชาชน และให้ประชาชนช่วยลบสิ่งที่เกิดขึ้นใน 7 ปีให้ได้ เราเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นโอกาส เป็นความหวัง เป็นอนาคตให้ประชาชนในการเลือกชีวิตใหม่ที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เราต้องได้เสียงประชาชนอย่างถล่มทลายไม่ต่ำกว่า 253 เสียงซึ่งมั่นใจว่าเราจะต้องทำให้ได้

นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าระบุว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลคิดไม่เหมือนกันมาตั้งแต่ต้น เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ ก็เห็นความแตกต่าง จนผู้สนับสนุนทั้งสองพรรคตั้งคำถามว่าตกลงแล้วอยู่ฝ่ายค้านร่วมกันจริงหรือไม่ ว่า คงต้องถามกลับไปว่าความคิดที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ต้นนั้นคืออะไร เพราะการทำหน้าที่ในพรรคร่วมฝ่ายค้านเรามีเป้าหมายเชิงอุดมการณ์ร่วมกันตั้งแต่ต้น คือการโค่นล้มเผด็จการ ทำให้ประเทศมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่สมบูรณ์แท้จริง เราต้องการกำจัดประชาธิปไตยเผด็จการซ่อนรูปออกไปให้ได้ แต่ยอมรับวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างหลากหลายในวิธีคิดตามแนวคิดของแต่ละพรรค ในการทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลอย่างเข้มข้นเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยรวม เราไม่มองว่าวิธีปฏิบัติที่แตกต่างเป็นความแตกแยกหรือทำงานร่วมกันไม่ได้ สิ่งที่นายปิยบุตรบอกว่าผู้สนับสนุนของพรรคตั้งคำถามนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น สาเหตุอาจเกิดจากการสื่อสารทางการเมืองของแต่ละฝ่าย เรื่องนี้แต่ละพรรคต้องสร้างความรู้ความเข้าใจว่าความแตกต่างดังกล่าวไม่ใช่ข้อขัดแย้ง และไม่ควรแสดงออกไปในลักษณะเป็นการแย่งหาคะแนนนิยมจากกันและกันที่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้งในผู้สนับสนุน เพราะเมื่อเรามีเป้าหมายร่วมกันแม้วิธีต่างกันเราเชื่อว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ ถ้าไม่มีเหตุผลทางการเมืองอื่นแอบแฝง

...

นอกจากนี้ นพ.ชลน่าน ยังให้สัมภาษณ์ถึงจังหวะเวลาที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 65 เป็นต้นไป ถือว่ามีเหตุอันควรที่จะต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมองว่านายกฯ ดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 65 เพราะเริ่มนับหนึ่งวันที่ 24 ส.ค. 57 ที่เราต้องรอให้ถึงช่วงเวลาดังกล่าวเพราะถือว่าครบองค์ประกอบตามลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และ 264 หากยื่นไปก่อนหน้านั้นจะยังไม่เข้าเงื่อนไข ทางที่ดีเมื่ออยู่ครบวาระ 8 ปีแล้ว นายกฯ ควรประกาศลาออก หรือยุติการดำรงตำแหน่งเพื่อให้มีการแต่งตั้งบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่มาทำหน้าที่ หรือจะเลือกคืนอำนาจให้ประชาชนก่อนครบวาระก็ได้ด้วยการยุบสภาฯ ถือเป็นการลงจากตำแหน่งที่สวยงามคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน