• ประชาธิปัตย์ มั่นใจ เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ได้ชัยชนะทั้ง 2 เขต ไม่ขอก้าวล่วงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่ส่งผู้สมัครลงแข่งในโค้งสุดท้าย
  • ยืดอกรับ หลายพรรคลงสนามแข่งถือเป็นเรื่องทางประชาธิปไตย พร้อมขอให้แยกส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลในอนาคต
  • ส่วนหัวหน้าพรรคกล้า ลั่น ไม่มีใครพยากรณ์ให้เราชนะ เดี๋ยวว่ากัน แต่พรรคมีคะแนนแน่นอน ห่วงมากที่สุด คือการเล่นเกมนอกกติกา ที่เจอมาแล้วในเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช

แม้ว่าจะเหลือเวลาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีก 1 ปี เศษๆ แต่สนามเลือกตั้งซ่อมก็ยังคึกคักไม่แพ้สนามเลือกตั้งใหญ่ ขอโฟกัสไปที่พื้นที่เขต 6 สงขลา และเขต 1 ชุมพร ที่มีเจ้าของเดิมเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เมื่ออดีต ส.ส. ในพรรค ถูกศาลวินิจฉัยในพ้นสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ก็ต้องส่งคนหน้าใหม่ แต่เก๋าเกมพื้นที่ เพื่อรักษาเก้าอี้เดิมไว้ให้ได้

เปิดหน้าสนามเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายเปิดเกมก่อน ลูกพรรคพากันตั้งกำแพงกันท่า โดยเฉพาะเรื่องมารยาททางการเมือง ที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรส่งชิงพื้นที่เลือกตั้งซ่อมกันเอง เพราะจะทำให้เพลี่ยงพล้ำต่อพรรคฝ่ายค้าน แต่พอใกล้วันสมัคร พรรคร่วมรัฐบาล อย่างพลังประชารัฐ กลับส่งคนในพื้นที่แข่ง ให้พอเจ็บแสบได้สีสัน

...

ขณะที่อดีต ส.ส.ในพรรคเก่า อย่าง นายกรณ์ จาติกวณิช หลังจากลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็หันมาตั้งพรรคใหม่ อย่างพรรคกล้า ก็ขอส่งคนในพรรคสู้ทั้ง 2 เขตเช่นเดียวกัน ส่วนทางพรรคฝ่ายค้าน แม้จะมีแค่พรรคก้าวไกล ที่ส่งคนรุ่นใหม่ลงแข่ง แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้อยู่ดี สำหรับพื้นที่ 2 จังหวัดใต้ครั้งนี้

พรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางชัด ยึดเรื่องกฎหมาย ทุกคนในพรรคต้องช่วยหาเสียง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะผู้อำนวยการประสานงานส่วนกลางของ 2 เขต เลือกตั้งดังกล่าว เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า เรื่องกลยุทธ์ในการหาเสียง ทาง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ บอกแนวทางไว้ชัดเจนแล้วว่า บุคลากรทุกคนในพรรคต้องร่วมรณรงค์ในการหาเสียง เพื่อสื่อสารทั้งเรื่องนโยบายที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน และอุดมการณ์ของพรรค เพื่อสื่อสารให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ และให้ยึดเรื่องกฎหมายเป็นที่ตั้ง ซึ่งนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่ทำหน้าที่ดูแล เขต 1 ชุมพร เป็นคนที่มีศักยภาพที่จะมาวางยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนนายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ จะเป็นผู้ดูแลเขต 6 สงขลา เพราะคุ้นเคยกับพื้นที่ และมียุทธศาสตร์เข้ากับพื้นที่มากพอสมควร ขณะที่ส่วนกลางตนเองจะดูเรื่องกฎหมายทั้ง 2 เขต รวมถึงจัดเตรียมคนในส่วนของพรรค ว่ามีใครมีความประสงค์ลงไปช่วยหาเสียงกับทั้ง 2 เขตหรือไม่ เพื่ออำนวยความสะดวก

การมาลงแข่งหลายๆ พรรคถือเป็นเรื่องปกติทางประชาธิปไตย

สนามเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีหลายพรรคลงแข่ง มองว่าเป็นเรื่องปกติของการเลือกตั้ง เพราะเป็นเรื่องดุลยพินิจของแต่ละพรรค เพราะ 2 เขต นี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันมาตลอดว่าจะส่ง เมื่อมีหลายพรรคส่งลงเลือกตั้งก็ต้องเข้ากระบวนการแข่งขันกันตามปกติ ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยอยู่แล้ว

“ที่ตั้งคำถามว่า มีความเป็นห่วงไหมที่พรรคก้าวไกล และพรรคกล้า ส่งลงเลือกตั้งทั้ง 2 เขต ครั้งนี้ด้วย ที่มีการพูดถึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ก็ต้องยืนยันนะครับว่า พรรคมียุทธศาสตร์ ที่มี ผอ. ทั้ง 2 คนที่เพิ่งแต่งตั้งไป ในเรื่องคะแนนเสียงของคนรุ่นใหม่ ยกตัวอย่างกรณี เขต 1 ชุมพร บุคคลที่ลงสมัคร ก็ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่มาโดยตลอด ทำงานกับคนรุ่นใหม่มาโดยตลอด ผมคิดว่าตรงนี้ก็เป็นจุดขายหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ในพื้นที่จะเข้าใจ จะเห็นถึงการทำงานของผู้สมัครในเขต 1 มาโดยตลอด เพราะอายุเพิ่ง 30 กว่าปี ส่วนเขต 6 สงขลา ผู้สมัครต้องยอมรับว่า เป็นแนวของคนรุ่นใหม่มากพอสมควร ที่สำคัญมีการทำงาน ร่วมกับกลุ่มสตรีทั้งหมด ทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยกลางคน วัยสูงอายุ มีการจัดกิจกรรมกับเยาวชน ทั้งการกีฬาและยาเสพติด ซึ่งผู้สมัครก็ทำในเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ไม่ได้มองจุดใดจุดหนึ่ง เพราะต้องมองภาพรวมทั้งหมด เพราะประชาธิปัตย์มีฐานเสียงที่ชื่นชอบพรรคมีทุกกลุ่มทุกรุ่น จึงต้องหาเสียงทั้งหมด” นายราเมศ กล่าว

มั่นใจสามารถคว้าชัยได้ทั้ง 2 เขต

ในส่วนของพรรคมีความมั่นใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนลงคะแนนเสียงลงเลือกตั้งก็จะเป็นวันที่ เป็นเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทางพรรคขณะนี้ 1.ต้องทุ่มเทในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มที่ การทำงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็ทำให้เราเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 เขตนี้ จะคว้าชัยชนะมาได้อย่างแน่นอน

พรรคพลังประชารัฐ ส่งคนลงแข่งโค้งสุดท้าย ถือเป็นสิทธิ์

นายราเมศ ระบุว่า เรื่องนี้หากเห็นในคำสัมภาษณ์ ที่พูดออกมาในนามพรรค ก็จะเห็นว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่าเราเคารพสิทธิ์ของแต่ละพรรค ยืนยันว่าไม่มีการฮั้ว หรือขอร้องไม่ให้ลง เพราะเรื่องนี้เป็นสิทธิ์ทางประชาธิปไตยอยู่แล้ว หากไปตกลง ไปขอร้อง มันมีกฎหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนพอสมควร

“ดังนั้น ยืนยันให้ฐานะพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันมาโดยตลอดว่าเป็นสิทธิ์ของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ไปก้าวล่วงไม่ได้ มติตอนแรกของพลังประชารัฐออกมาอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนหลังมาส่ง อันนี้เป็นเรื่องของสิทธิ์พรรคการเมืองเขา ไม่สามารถก้าวล่วงได้ ก็ต้องยืนยันเป็นหลักการไว้ ว่าต่อสู้กันตามกระบวนการปกติ” นายราเมศ กล่าว

ขอให้แยกออกจากกันเรื่องการร่วมงานในอนาคต

ส่วนครั้งหน้ายังร่วมรัฐบาลกันได้ใช่หรือไม่ นายราเมศ ระบุว่า การร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลต้องแยกออกจากกัน เพราะมันเป็นกระบวนการของการแข่งขันสนามเลือกตั้ง เมื่อมีเลือกตั้งซ่อม การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องแยกออกจากกัน ขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง ที่มุ่งหวังไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นแต่ละพรรคที่ส่งจึงทุ่มเทกันมาก เพราะก็สามารถวัดในทางการเมืองได้หลายสิ่งหลายอย่างได้เช่นเดียวกัน

พรรคกล้าภูมิใจที่มีคนจิตสาธารณะอาสามาช่วยชาวบ้าน

ขณะที่ทางด้านพรรคน้องใหม่ แต่ไม่ใหม่สนาม อย่างพรรคกล้า ครั้งนี้เปิดหน้าสู้เต็มที่ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า ผู้สมัครของพรรคในเขต 6 จ.สงขลา หรือ นายพงศธร สุวรรณรักษา (ทนายอาร์ม) เป็นคนในพื้นที่ เป็นคน อ.สะเดา ที่ผ่านมาใช้อาชีพทนายดูแลคนตัวเล็กในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องเงินชดเชยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ในช่วง โควิด-19 มีมากถึง 200 กรณี จนสามารถช่วยเหลือกลุ่มคนดังกล่าวได้ ซึ่งพรรคกล้าภูมิใจที่มีคนแบบนี้ ที่มีจิตสาธารณะต้องการมาช่วยชาวบ้านอย่างจริงใจ โดยทนายอาร์มเป็นผู้เดินเข้ามาแนะนำตัวกับพรรค โดยที่ไม่ได้รู้จักมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปีกว่า ก็ทำให้พรรคมั่นใจ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ตนเองมั่นใจว่าถ้าประชาชนให้โอกาสจะได้รับการตอบสนองที่ดีให้กับคนในพื้นที่อย่างแน่นอน

ไม่มีใครพยากรณ์ให้ชนะ แต่พรรคเชื่อว่ามีคะแนนแน่

ขณะที่ผู้สมัครเป็นทนายความ ความจริงแล้วเมื่อเป็นทนายก็ช่วยชาวบ้านได้ แต่การทำหน้าที่ในการเป็นทนาย พบว่ากฎหมายมีช่องโหว่ และล้าสมัยหลายส่วน หากจะแก้ได้ต้องเข้ามาในสภา จึงจะสามารถมีบทบาทในการปรับปรุงได้ ส่วนพรรคเชื่อว่าพื้นที่สะเดาเป็นพื้นที่ชายแดน สามารถพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้ เลือกตั้งซ่อมก็เหมือนเป็นการส่งญาณ ที่คนในพื้นที่ก็ต้องการความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่สืบทอดกันมา เหมือนธุรกิจครอบครัว ตนเองคิดว่าไม่ตอบโจทย์ จึงอยากให้คิดว่าการเมืองต้องเปลี่ยน

“ถ้าถามนักวิเคราะห์การเมือง ไม่มีใครพยากรณ์ว่าเราจะชนะ แต่เราแอบมั่นใจอยู่ลึกๆ ทั้งกรณีชุมพร และสงขลา ว่าเรามีคะแนน สุดท้ายจะชนะ ไม่ชนะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่ว่าเรามีคะแนนแน่นอน เพราะผมคิดว่า จะส่งผลต่อการกำหนดวาระ และวิธีการแข่งขันทางการเมือง คืออย่างในชุมพร แค่วันแรกที่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ออกมา เราจัดเวทีปราศรัยทันที มีคนมาร่วมฟังถึง 2,000 คน ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่มีใครแข่งกับตระกูลเดิมที่เขายึดครองพื้นที่นี้มา แบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นมันสะท้อนว่า ประชาชนจำนวนมากที่เอาด้วย” นายกรณ์ กล่าว

ห่วงมากที่สุด คือการเล่นเกมนอกกติกา

ส่วนเจ้าของพื้นที่เดิม เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าเขายึดพื้นที่นี้มานาน แต่เราลงพื้นที่มานานเกือบปี ในทั้ง 2 เขต มีความสัมผัสกับพื้นที่มานาน ก็เห็นในส่วนของประชาชนที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ทำให้ทางพรรคทำงานสบายใจและมั่นใจมาโดยตลอด แต่ที่เป็นห่วงมากที่สุด คือการเล่นเกมนอกกติกา ซึ่งทางพรรคเจอมาแล้วในการเลือกตั้งซ่อม ที่ นครศรีธรรมราช และมั่นใจจะมีกระบวนการเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นอีกในทั้ง 2 เขตนี้ โดยสิ่งที่ตนเองข้องใจมากก็คือ ทำไมในยุคนี้สมัยนี้ มันสามารถที่จะมีพฤติกรรมแบบนี้ได้ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำไม คณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต. ไม่สามารถเอาผิดใครได้ ทั้งๆที่ ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

“ผมมองว่าตรงนี้คือสิ่งที่ท้าทาย ระบบประชาธิปไตยมากที่สุด แล้วก็ท้าทายมาตรฐานการเมืองไทยมากที่สุด และสื่อเองควรจะตั้งคำถามในเรื่องแบบนี้เช่นเดียวกัน มากกว่าใครจะแพ้ชนะ แต่ควรใส่ใจรายละเอียดและวิธีการด้วย เราเข้ามาหาเสียง เพื่อให้ประชาชนรับรู้ว่าเราต้องการเข้ามาทำอะไร โดยที่ไม่ได้กังวลใจมากว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร สิ่งที่กังวลมากที่สุดคือการเล่นนอกกติกา การทุจริตเลือกตั้ง เอาเป็นว่าเราทราบดีอยู่แล้ว อย่าให้ผมต้องพูด ผมมีความกังวลเรื่องนี้เรื่องเดียว ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องที่ผมเป็นห่วงเลย และมองว่ามันถึงเวลาที่เราต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และประชาชนต้องฮึดสู้กับเรื่องนี้ ไม่งั้นมันไม่มีทางที่การเมืองมันจะดีได้ การเมืองไม่ดี บ้านเมืองเศรษฐกิจก็ไม่ดีด้วย” นายกรณ์ กล่าว

นำกลยุทธ์จากการที่เคยอยู่ประชาธิปัตย์ มาปรับใช้

นายกรณ์ ระบุว่า จากการที่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จะนำมาเรียนรู้ในสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ เพราะเป็นประสบการณ์การเมืองที่ต้องเอามาปรับใช้ และตนเองก็ทราบว่าในอดีตที่คนใต้เลื่อมใสในพรรคประชาธิปัตย์เป็นเพราะอะไร อีกทั้งยังทราบว่าระยะหลังระดับศรัทธามันลดลงไปเพราะอะไร จึงจะเอามาปรับเพื่อที่จะให้พรรคกล้าเป็นที่พึ่งของคนใต้ในอนาคตต่อไป

“แน่นอนอยู่แล้ว ว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นการหยั่งเสียงเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า คือเงื่อนไขการเลือกซ่อม มันไม่ได้เลือกเพื่อที่จะเปลี่ยนนายกฯ พอแข่งกันระดับเขต 2 เขต ระดับอารมณ์และความสนใจมันจะต่างกัน แต่มันเป็นโอกาสของประชาชนใน 2 เขตนี้ ที่จะสะท้อนถึงความต้องการในการเปลี่ยนแปลง” นายกรณ์ กล่าว

การได้แชมป์ว่าอยากแล้ว การรักษาแชมป์เป็นงานที่ยากกว่า

วันที่ 16 ม.ค. 2565 จึงต้องมาลุ้นกันอีกรอบว่า พรรคเก่าจะกอดเก้าอี้เดิมไว้ได้ หรือพรรคใหม่จะคว้าไปครอง คนเขต 6 สงขลา และ เขต 1 ชุมพร เท่านั้นที่รู้ แต่ที่แน่ๆ การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีผลต่อการหยั่งเสียงเลือกตั้งสมัยหน้า 100%

ผู้เขียน : Supattra.l
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun