ล็อกกติกาชัด ไม่มีคิวเบี้ยวนัดชัวร์ เมื่อราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่โปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส.ส.เขต 400 คน ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน
เป็นอันจบข่าว ตัดกระแสลือต่างๆนานา อย่างไรเสียก็ไม่มีเกมยุบสภาตัดหน้าวนกลับไปใช้กติกาเก่าฉบับ 2560 เข้าทางพรรคต่ำเอี่ยว ลุ้น ส.ส.ปัดเศษ ไม่มีเหตุพลิกล็อก ทุกอย่างต้องเดินหน้า ตามโปรแกรม
และที่ตีปี๊บ ชกลม โหมยุทธการแลนด์สไลด์ได้เต็มเสียง ก็คือ พรรคเพื่อไทย ทีมของ “นายใหญ่ดูไบ” ที่ได้เปรียบจากกติกาที่เข้าทางปืนเต็มๆ
จากเกมเลือกตั้งที่พิสูจน์มาแล้ว แนวโน้มเซียนเลือกตั้งแทงเต็งยี่ห้อ “ทักษิณ” กวาดเรียบแน่
เว้นเสียแต่ “แพ้ฟาวล์” โดนน็อก โดนตัดตอนก่อนขึ้นเวที ตามเหตุแห่งคดีค้างเก่าที่ยังเป็นที่หวาดระแวงของฝ่ายที่ต่อต้านระบอบ “ทักษิณ” กลับมาทวงคืนอำนาจ ล้างบางขั้วตรงข้าม สางแค้นเอาคืนพวกล้มกระดาน
สถานการณ์อีกด้านที่เหมือนจะเสียผลประโยชน์เต็มๆจากเกมบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ นั่นคือพรรคก้าวไกล ทีมเด็กรุ่นใหม่ที่หมดสิทธิ์โกยคะแนนตกน้ำจากการคิดปาร์ตี้ลิสต์แบบสัดส่วนผสม ต้องเน้นปักหมุด ส.ส.เขต เจาะพื้นที่เสริมแทนระบบบัญชีรายชื่อ
แต่ถึงตรงนี้ก็ไม่แน่ว่าทีมก้าวไกลจะเสียหายหลายแสนจริงหรือไม่ ในเมื่อกระแส “นิวโหวตเตอร์” และสถานการณ์ความนิยมกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ต่างเทให้ทีมสีส้ม เป็นตัวเลขทางสถิติจากโพลที่ล้อกับอารมณ์สังคมจริงๆ
ไม่ใช่ “ไอโอ” ที่ใช้งบพีอาร์จากหน่วยงานรัฐจ้างโพลปั้นตัวเลขคะแนนนิยม “ดั้นเมฆ” แหกตาชาวบ้าน หลอกตัวเองและกองเชียร์จนเผลอหลงเชื่อซะเอง
...
สถานการณ์ของยี่ห้อก้าวไกลก็ไม่ได้กระทบมากนัก นั่นหมายถึงการหักมุมกลับมาใช่บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อสกัดทีมเด็กก้าวไกล เลือกปล่อยให้เข้าทางทีม “ทักษิณ” ที่ประเมินแล้วอันตรายน้อยกว่า อาจได้ไม่คุ้มเสีย หรือเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่ที่แน่ๆต้องวางยุทธศาสตร์ เปลี่ยนแผนกันใหม่ สำหรับค่ายพลังประชารัฐที่ตอนแรกหวังจะแชร์แต้มกับพรรคเพื่อไทยในฐานะค่ายใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากกติกาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ วัดกันแค่ 2 ค่าย นอกนั้นแค่ไม้ประดับ
แต่ไปๆมาๆสถานการณ์พลิกตาลปัตร พลังประชารัฐเผชิญแรงกระแทกจากศึกกบฏ อาฟเตอร์ช็อกสั่นสะเทือนถึงสายสัมพันธ์ทหารเฒ่า 3 ป. ส่อแววถึงขั้นต้องเป็นไผ่แยกกอ แตกค่าย พรรคใครพรรคมัน
ตามสัญญาณแบบที่ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ สวม “หนังเสือ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ควง “มาดามบิ๊กอาย” นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พปชร. ไปปักหมุดฐานอีสานที่จังหวัดขอนแก่น
โดยไม่มีการชูชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แม้แต่แอะเดียว ขณะเดียวกัน กระแสอีกมุมหนึ่งก็คึกคักกับชื่อป้อมค่ายใหม่ถูกปล่อยออกมาถามทาง สารพัดยี่ห้อ
ล่าสุดก็เป็น “ไทยสร้างสรรค์” ที่มีแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามแต่ประสงค์ปล่อยของ ปั่นเรตติ้งล่วงหน้า นัยว่า 6-7 รัฐมนตรีในทีมสวามิภักดิ์ “บิ๊กตู่” แหกค่ายพลังประชารัฐ มาตั้งพรรครองรับชื่อ “ประยุทธ์” ในบัญชีนายกฯ
ตามลีลานักการเมืองอาชีพเต็มฟอร์ม “บิ๊กตู่” ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธเรื่องตั้งพรรคใหม่
ส่วน “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็เริ่มเป็น “มือใหม่หัดขับ” ฝึกฟอร์มนักการเมืองอาชีพ เคลียร์ คำถามเรื่องตั้งพรรคใหม่ ออกตัว ไม่รู้ แต่แปลกใจทำไมนักข่าวรู้เยอะจัง
สรุปทั้ง “บิ๊กป๊อก” กับ “บิ๊กตู่” ไม่ตอบรับ แต่ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องตั้งพรรคใหม่
แต่เซียนวงนอกฟันธง ชัวร์กว่าไฮโลเปิดถ้วยแทง ยังไง “พี่รอง-น้องเล็ก” ก็ต้องแยกตัวจาก “พี่ใหญ่” มาตั้งค่ายใหม่ เพราะ “เสือ” อย่าง “ประยุทธ์” ไม่มีทางอยู่ถ้ำเดียวกับ “เสือ” อย่าง “ผู้กองนัส”
หาก “พลังประชารัฐ” แตก ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเพื่อไทย
ขณะที่ค่ายตัวแปร ภูมิใจไทยของ “เนวิน ชิดชอบ-อนุทิน ชาญวีรกูล” ก็เน้นตุนกล้วยไว้เต็มรถเสบียง ล็อกเป้าเอาเฉพาะที่ชัวร์เพราะไร้กระแสอาการเดียวกับประชาธิปัตย์ที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นแม้แต่ในปักษ์ใต้ ส่วน “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวขบวนค่ายไทยสร้างไทย ก็รำอยู่คนเดียว จนหมดมุกเล่น เช่นเดียวกับพรรคกล้าของนายกรณ์ จาติกวณิช ก็ส่อหมดแรง ไม่มีก๊อกสองเร่งไปต่อ
เจอกติกาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ยิ่งหืดจับไปกันใหญ่
แต่ที่วงการกำลังจับตา “ยี่ห้อใหม่” ระดม “มือบริหารเศรษฐกิจ” ระดับอ๋อง มวยรุ่นใหญ่มือเก๋าเป็นตัวชูโรง นำทีมดาวรุ่งสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ชื่อดังทุกวงการ แกรนด์โอเพนนิ่ง เปิดตัวในเดือนมกราคมปีหน้า
มาในจังวะเศรษฐกิจโควิดกำลังลากประเทศล่มจม.
ทีมข่าวการเมือง