รัฐบาลวอนอย่ายุแยงขัดแย้ง “2 ป.” ยันยังรักกันดี เผย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ยังหนุงหนิงระหว่างประชุม ครม. “พี่ใหญ่” แจงไม่มีเกมวัดพลังรักกันเหมือนเดิม “บิ๊กป๊อก-ปลัดฉิ่ง” ไม่พลาดร่วมขบวนนายกฯ “สุชาติ” ระดมนำทีม ส.ส. 3 จังหวัด รอต้อนรับ อีกฟาก “ธรรมนัส” สั่งเช็กชื่อ 40 ส.ส.พปชร.ร่วมคณะ “หัวหน้าป้อม” ด้าน พท.มั่นใจลงพื้นที่มีวาระแฝง ขอความจริงใจแก้ปัญหาให้ชาวบ้านด้วย “โรม” ยุ “บิ๊กตู่” ยุบสภา รีเซตทีมใหม่ หลังสภาพลากต่อไม่ไหว คุม ส.ส.ไม่ได้ จนสภาล่มซ้ำซาก เชื่อ “บิ๊กป้อม” โดนบอนไซอำนาจใน ครม. กลายเป็นดาวหมดแสง ฝ่ายค้านรุมอัดขยาย เพดานกู้ หยามใช้เงินไม่เป็น เอาแต่แจก เอาแต่โปรย ไม่มีดอกผลกลับคืน แต่เชื่อยังจะกู้อีก 1 ล้านล้าน แจกทิ้งทวนก่อนเลือกตั้ง

จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม จะนำคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ น้ำท่วมลุ่มน้ำเพชรบุรี จ.เพชรบุรี วันเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่กำหนดลงพื้นที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำเช่นเดียวกัน ท่ามกลางการจับตาว่าเป็นการประลองกำลังเชิงการเมือง บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐต้องคิดหนักว่าจะไปร่วมลงพื้นที่กับใคร

...

“บิ๊กตู่” ขออย่าจุดขัดแย้ง “2 ป.” ลงพื้นที่

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. เวลา 09.00 น. ที่ตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อมาเวลา 15.20 น. ภายหลังประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการลงพื้นที่ จ.เพชรบุรีในวันที่ 22 ก.ย. ซึ่งตรงกับการลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางการจับตามองว่าเป็นการวัดพลังของ 2 ป. ว่า เรื่องดังกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง อย่าหาเรื่องมาสร้างความขัดแย้ง นายกฯได้สั่งการ ครม. มอบหมายให้รองนายกฯและรัฐมนตรีทุกคนลงตรวจเยี่ยมพื้นที่หากไม่ติดราชการสำคัญ เพื่อไปรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเพื่อเตรียมการแก้ปัญหาอุทกภัยไว้ล่วงหน้า

“ธนกร” ยัน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ยังรักกันดี

“การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นการลงพื้นที่ตามภารกิจปกติที่กำหนดไว้แล้ว เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร เป็นการแบ่งกันลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามแก้ไขปัญหาให้ประชาชนตามปกติ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทั้งนายกฯและรองนายกฯลงพื้นที่เพื่อต้องการช่วยเหลือประชาชนแบบเข้าถึงปัญหา รับรู้สถานการณ์ล่าสุดด้วยตัวท่านเอง และเพื่อความรวดเร็วในการเร่งช่วยเหลือประชาชน ทั้ง 2 ท่านรักกันดีและช่วยกันทำงานเพื่อดูแลทุกข์สุขคนไทยทั้งประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากนี้ นอกจากรัฐมนตรีและ ส.ส.ท่านอื่นๆก็ช่วยกันลงพื้นที่ ติดตามความคืบหน้าการทำงานตามนโยบายรัฐบาล ตามข้อสั่งการของท่านนายกฯ เพื่อพลิกโฉมประเทศด้วย” นายธนกรกล่าว

นายกฯเหนื่อยไม่ได้แม้มีศึกนอกศึกใน

เมื่อถามว่า นายกฯเหนื่อยหรือไม่กับการเมืองทั้งในและนอกพรรค รวมทั้งการเมืองบนท้องถนนขณะนี้ นายธนกรตอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่าเหนื่อยไม่ได้ ต้องขอบคุณรองนายกฯ ครม.และข้าราชการทุกกระทรวง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคง ตลอดจนประชาชนทุกคนที่เข้าใจ ร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้นายกฯเห็นใจผู้ที่เดือดร้อนจากเหตุการณ์ชุมนุม อย่างไรก็ตาม มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลตามกฎหมาย ขณะที่สังคมก็ต้องช่วยกันดูแล เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น

“อนุพงษ์-ฉัตรชัย” ร่วมลงพื้นที่นายกฯ

นายธนกรเปิดเผยว่า วันที่ 22 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์จะนำคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำและแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำเพชรบุรี ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี (เขื่อนเพชร) จ.เพชรบุรี และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ช่วงบ่ายร่วมประชุมเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว (Sandbox) ณ โรงแรมรีเจนท์ ชะอำ ซึ่ง จ.เพชรบุรี เป็น 1 ใน 5 จังหวัด ในแผนเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวในระยะที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะที่ร่วมลงพื้นที่กับนายกฯ อาทิ พล.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมเกียรติประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

“ธรรมนัส” ระดม 40 ส.ส.ร่วมรับ “บิ๊กป้อม”

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐว่า การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตรที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 22 ก.ย. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะเลขาธิการพรรค ได้กำชับ ส.ส.ในพรรคให้ร่วมคณะ โดยมีการลิสต์รายชื่อผู้ที่จะร่วมคณะ พล.อ.ประวิตรครั้งนี้ประมาณ 40 คน ที่นอกเหนือ ร.อ.ธรรมนัสแล้ว มีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรรมการบริหารพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส. บัญชีรายชื่อ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี รวมถึง ส.ส.จากหลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน นอกจากนั้น จะมีการพาว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ร่วมคณะไปในครั้งนี้ด้วย

“สุชาติ” นำ ส.ส. 3 จังหวัดรับนายกฯ

ขณะเดียวกัน ในส่วนของการลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ร่วมคณะ มีรายงานข่าวว่า มีการแจ้งในกลุ่มไลน์กลุ่มหนึ่งว่า ในวันที่ 22 ก.ย.จะมี ส.ส. สมาชิก อบจ.จาก จ.เพชรบุรี จ.ราชบุรี และ จ.กาญจนบุรี ประมาณ 12 คน ร่วมคณะไปกับนายกฯ โดยให้กระทรวงแรงงานจัดรถไว้รองรับคนเหล่านี้ และให้รถดังกล่าวติดตามอยู่ในขบวนของนายกฯเลย พร้อมกำชับว่าไม่ให้ขบวนรถยาวจนเกินไป

นอกจากนี้ ในวันที่ 23 ก.ย. พรรคพลังประชารัฐเรียกประชุม ส.ส. ที่ห้องประชุมพรรคชั้น 6 อาคารรัฐสภา เวลา 14.00 น. โดย พล.อ.ประวิตรในฐานะ หัวหน้าพรรค และ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เข้าร่วมด้วยวาระสำคัญคือการหารือถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับ อบต.

“บิ๊กป้อม” ยันไม่วัดพลังยังรักเหมือนเดิม

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการลงพื้นที่คนละจังหวัดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในวันเดียวกันถูกมองเป็นการวัดพลังทางการเมืองว่า ไม่มีอะไร ไม่มีการวัดพลังทางการเมือง และไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ในความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. ยังรักกันเหมือนเดิม ไม่มีแตกแยก และยังทำงานร่วมกัน ช่วยกันคิดและช่วยกันแก้ไขปัญหาปากท้องและปัญหาของบ้านเมือง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปได้ และยืนยันในพรรคพลังประชารัฐไม่มีกลุ่มหรือไม่มีก๊วนการเมือง ขอให้เลิกพูดปัญหานี้ได้แล้ว เพราะพลังประชารัฐเป็นหนึ่งเดียว

2 พี่น้องกะหนุงกะหนิงใน ครม.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในที่ประชุม ครม.เต็มคณะ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ถึงแม้จะมีข่าว พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แยกกันลงพื้นที่ในวันที่ 22 ก.ย. ระดม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐไปต้อนรับเพื่อวัดกำลังกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ระหว่างประชุมได้หันไปกระเซ้า พล.อ.ประวิตรถึงเรื่องการลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมในวันที่ 22 ก.ย. ว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปลงพื้นที่น้ำท่วม รองนายกฯคนไหนจะไปลงพื้นที่ไหนก็ไปเถอะ ผมไม่ไปด้วยหรอก” ก่อนจะหันมาอมยิ้มให้ พล.อ.ประวิตร นอกจากนั้น ในการประชุมครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรยังกระซิบกระซาบ กระเซ้าเย้าแหย่ หัวเราะ และยิ้มให้กันเป็นระยะ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างประชุมด้วยว่า “ผมไปเพชรบุรี ส่วนรองนายกฯ ไป จ.พระนครศรีอยุธยา ต่างคนต่างช่วยกันทำงานเป็นปกติอยู่แล้ว รัฐมนตรีคนไหนว่างก็ขอให้ช่วยลงพื้นที่กันด้วยนะ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางแผนลงพื้นที่ตรวจราชการต่างๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หากไม่ติดภารกิจสำคัญ

“อธิรัฐ” เปลี่ยนรันเวย์ตามติดนายกฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงเข้าไปนั่งในห้องรับรอง จิบกาแฟ เหมือนปกติ โดยมีรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการเวียนเข้าไปพบเพื่อหารือถึงเรื่องต่างๆ ขณะที่ช่วงพักเบรกการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังได้เดินทักทายรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมประชุมอย่างเป็นกันเองเหมือนเช่นเคย แต่เป็นอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่มีการปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม รัฐมนตรีในกลุ่ม 4 ช.เดิม ได้เดินตาม และไปรับ-ส่ง พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน ผิดไปจากเดิมที่นายอธิรัฐจะไปรับ-ส่งเพียงแค่ พล.อ.ประวิตร เท่านั้น

“เอ๋” ว่างรับ “บิ๊กป้อม” อัดสื่ออย่าเสี้ยม

ด้าน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า #เสี้ยม เมื่อพี่น้องชายชาติทหารจะลงพื้นที่คนละจังหวัดวันเดียวกัน ประชาชนอยุธยา เพชรบุรีต่างตื่นเต้นดีใจ เพราะนายกฯและรองนายกฯกำลังจะมาเยี่ยม และมาติดตามตรวจโครงการต่างๆที่ลงมาในพื้นที่ โดยเฉพาะเพชรบุรี นายชัยยะ อังกินันทน์ นายก อบจ.เพชรบุรี หรือนายกปราย ผู้ยกทีม ส.ส. ทั้งจังหวัดเข้ามาในพรรคพลังประชารัฐ จะได้มีโอกาสพบนายกฯเป็นครั้งแรก ส่วน ส.ส.ท่านอื่นๆ จังหวัดอื่นก็แล้วแต่ว่าง ก็แค่นั้น ทำไมสื่อต้องไปเขียน ไปเสี้ยม ไปยุให้คนทะเลาะกันด้วย รู้ไว้ด้วยว่าพี่น้องชายชาติทหารเค้ารักกันมาก ฝากสื่อ เบาๆหน่อย โดย เฉพาะเวลาพาดหัวข่าว ส่วนปารีณาไปอยุธยาว่างค่ะ

พท.ชี้มีวาระแฝง–ขอจริงใจแก้ปัญหา

นายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดูการเตรียมการรับมือน้ำท่วมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในวันที่ 22 ก.ย.ว่า อยากฝากให้รัฐบาลจริงจังในการแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะบางพื้นที่ในจังหวัดน้ำท่วมทุกปี ขอให้มุ่งเน้นประเด็นการระบายน้ำ เพราะปีนี้มีน้ำมาก หากรัฐบาลเร่งเตรียมการก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาซ้ำรอยปี 2554 อย่างไรส่วนตัวคงไม่ไปให้การต้อนรับ เท่าที่ทราบมีการประสาน ส.ส.พลังประชารัฐ ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.พื้นที่มาให้การต้อนรับ จึงมองว่าคงมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างในการลงพื้นที่ของพรรคพลังประชารัฐเพื่อให้มี ส.ส.ในอนาคตหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็อยากให้การลงพื้นที่ของรองนายกฯ เป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเป็นหลัก ไม่ยึดผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง

“โรม” ยุยุบสภาฯเซตทีมใหม่

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แยกกันลงพื้นที่ จน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปต้อนรับใครว่า ขณะนี้รัฐบาลเกิดรอยร้าว ไม่มีเสถียรภาพ ไม่สามารถคุมคนในรัฐบาลได้ สะท้อนออกมาในช่วงการประชุมสภาฯ ที่เกิดสภาฯล่มบ่อย ล่าสุดก็ไม่สามารถอยู่ครบองค์ประชุมเพื่อลงมติกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาได้ ราวกับว่ากลไกการคุม ส.ส. และ ส.ว. ของรัฐบาลมีปัญหา รัฐบาลกำลังสร้างวิกฤติใหม่ผ่านกลไกของตัวเอง ควรจัดการวิกฤติตรงนี้ให้ได้ ทางเลือกคือ พล.อ.ประยุทธ์สามารถลาออก หรือยุบสภาฯ เปิดทางให้มีการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้

เชื่อ “บิ๊กตู่” เล็งลดบทบาท “บิ๊กป้อม”

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ยังไม่ฟันธงว่าความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์มีอยู่หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดการปัญหาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าบารมีของ พล.อ.ประวิตรในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มีน้อยลงมาก พล.อ.ประวิตรเปรียบเสมือนดวงดาวที่ค่อยๆหมดแสง รอวันแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่สามารถที่จะคุมกลไกหลายๆ อย่างได้เหมือนที่เคยทำมา เมื่อน้องรักอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ฟัง ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งอำนาจหลายอย่างก็ถูก พล.อ.ประยุทธ์ยึดไป ตนจึงคิดว่าสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังคิดอยู่ลึกๆ คือการค่อยๆ ทำให้ พล.อ.ประวิตรหมดบทบาทลงหรือไม่ โดยเฉพาะกลไก ครม.ของ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป เพราะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐก็ถูกปลดพ้นรัฐมนตรี ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐอาจจะเป็นเพียงพรรคชั่วคราว และมุ้งของ พล.อ.ประวิตรอาจไม่มีบทบาทต่อไปในอนาคต สุดท้ายคงแตกกัน ก็หวังว่าประชาชนจะไม่ได้รับลูกหลงมากจนเกินไป

“สุดารัตน์” วอนเลิกโปรยทานงานไม่เกิด

วันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่าตามที่ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จากเดิมไม่เกินร้อยละ 60 เป็นไม่เกินร้อยละ 70 เห็นว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพื่อรองรับวิกฤติเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ต้องมีแผนการใช้เงินจากการกู้ยืมเพิ่มดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด มิใช่การหว่านแจกเงินแบบโปรยทานที่ไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงควรดำเนินการดังนี้ นำเงินไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดกำลังซื้ออย่างมีนัยสำคัญ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายใน เยียวยาธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการ “ยกเลิก” การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคต่อการบริโภคภายใน อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่ปกติของประเทศ อันเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน

พท.จวกสักแต่กู้มาแจกจนหนี้ทะลุ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทของรัฐบาล ทั้งช้า ทั้งชุ่ย ไทยเจอการระบาดหนักทั้งระลอก 3 และ 4 แต่การใช้เงินกู้เพื่อประคองเศรษฐกิจเชื่องช้า อืดอาด เม็ดเงินที่ลงสู่ระบบนั้นน้อยนิดใน 5 แสนล้านบาทนั้น มีเพียง 5 หมื่นกว่าล้านบาทที่ลงสู่ระบบ และในแผนงานเงินกู้ 5 แสนล้านบาทนั้น ทุกโครงการเป็นโครงการจ่ายทิ้ง ไม่มีเงิน ฟื้นฟูที่เอาไปสร้างอนาคตประเทศ ไม่มีการสร้างโครงสร้างการพัฒนาให้กับประเทศเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนการขยายเพดานหนี้ เท่ากับขยายความล้มเหลวซ้ำซาก ทั้งหมดเกิดจากความล้มเหลวของการใช้เงินกู้ 2 ก้อนที่ผ่านมา หากใช้ให้ดี เงินกู้ 2ก้อนนั้น มีขนาดที่เหลือเฟือ เราจะไม่ต้องเดินมาสู่จุดนี้ การสร้างหนี้ไม่ใช่ของฟรี หนี้ที่สร้างมาจึงต้องสร้างรายได้ เมื่อหนี้ไม่สร้างรายได้ ระยะต่อไปจะได้เห็นการหารายได้ของรัฐบาลผ่านการขึ้นภาษีต่างๆ และท้ายสุดลงเอยด้วยการกู้หนี้มาโปะหนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ฉะยับแจกทิ้งทวนก่อนเลือกตั้ง

น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า การขอขยายเพดานเงินกู้จาก 60 เป็น 70% ของรัฐบาล เป็นการเตรียมกู้เงินเพิ่มอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท ตามที่ตนเคยอภิปรายว่าตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังเป็นผู้นำจะกู้จนตัวตาย ประเทศจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับการกู้แล้วแจก แจกแล้วกู้ เป็นวงจรอุบาทว์ การขยายเพดานเงินกู้ครั้งนี้เป็นการเตรียมเงินแจกทิ้งทวนก่อนเลือกตั้งครั้งใหม่ หวังซื้อใจประชาชนผ่านโครงการเยียวยาต่างๆ คาดว่าจะมีการปรับฐานข้อมูลประชาชนอีกครั้งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เมื่อชนะเลือกตั้งจะอาศัยเสียง 250 ส.ว.กลับมาเป็นนายกฯอีก เพื่ออยู่ให้ครบ 20 ปี ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนแนวทางการหาเงินเข้าประเทศด้วยการเปิดทางให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านหรือเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศได้นั้น สะท้อนถึงความจนตรอกของรัฐบาล ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ ต่อไปคนไทยต้องกลายเป็นผู้เช่าอาศัยบ้านคนต่างชาติหรือไม่

เช็กบิล “บิ๊กตู่” ข้อหากบฏไม่หมดอายุ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า การรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นเวลา 15 ปี ส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน รัฐประหารทุกครั้งทำลายประเทศทั้งเศรษฐกิจและสังคม ปัจจัยหลักของการรัฐประหาร คือ กลัวสูญเสียอำนาจ และใช้อำนาจของผู้นำเหล่าทัพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในขณะนั้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมทำรัฐประหารต่อมาได้รับนิรโทษกรรม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจปี 57 ล้มรัฐธรรมนูญปี 50 ทำให้การนิรโทษกรรมปี 49 ถูกยกเลิกไป รัฐธรรมนูญปี 60 นิรโทษกรรมเฉพาะผู้ทำรัฐประหารปี 57 เท่านั้น รวมทั้งไม่ได้เขียนนิรโทษไว้ในกฎหมายอื่นใด การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ในครั้งนั้น ความผิดฐานกบฏอายุความยังไม่หมด พรรคเพื่อไทยจะต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเพื่อให้คนที่กระทำผิดรับโทษ เพราะส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนไร้อนาคต อีกทั้งยังเห็นควรแก้กฎหมายความผิดฐานกบฏจากรัฐประหารให้ไม่มีอายุความ

“ชวน” แฉต้นตอประชุมรัฐสภาล่ม

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงเหตุการณ์ประชุมร่วมรัฐสภาองค์ประชุมไม่ครบต้องชิงปิดประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ว่า วันนั้นมีความคิดอยากให้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับผ่านวาระ 1 แต่มีสมาชิกอภิปราย 70 กว่าคน ไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนด จึงอยากให้ผ่านแค่ พ.ร.บ.การศึกษาก่อน เวลานั้นเหลือสมาชิกจะอภิปราย 10 กว่าคน และมีคนเสนอให้อภิปรายต่อและลงมติในสมัยหน้า จึงตกลงกันไว้อย่างนั้น แต่ฝ่ายค้านเสนอให้ลงมติ จำเป็นต้องนับองค์ประชุม จึงไม่ได้เป็นเรื่องเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามก่อนเปิดสมัยประชุมหน้าจะขอคุยเพื่อประสิทธิภาพการทำงานกฎหมายจะได้ไม่ค้าง เมื่อถามว่า ขณะนี้ผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองแต่ละพรรคลงพื้นที่เป็นสัญญาณยุบสภาหรือไม่ นายชวนตอบว่า แต่ละคนไปทำหน้าที่ตัวเอง และยังไม่ได้ยินนักการเมืองพูดเรื่องยุบสภาเลย ได้ยินมาจากสื่อมวลชนเท่านั้น

นายกฯถกยูเอ็นชู 3 หลักพัฒนา

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบประชุมทางไกลไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในกิจกรรม “Sustainable Development Goals (SDG Moment)” ครั้งที่ 2 ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 76 ว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่น 3 ประการ 1.ส่งเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนทุกช่วงอายุ ให้มีระบบสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมทั่วถึง 2.สร้างความสมดุลผ่านการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3.ขจัดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาด้าน digital literacy ปลดล็อกศักยภาพประชาชน รวมถึงปัญหาความยากจนอื่นๆ ทั้งนี้แผนการขับเคลื่อน SDGs ของไทยได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นมาตรการฟื้นฟูจากโควิด-19

ศาลยกคำร้องถอนประกัน “ตี้”

อีกด้านหนึ่ง ที่ศาลอาญาธนบุรี ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง น.ส.วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือตี้ พะเยา แนวร่วมกลุ่ม ราษฎร จำเลยตามมาตรา 112 สืบเนื่องจากอัยการได้รับแจ้งจากตำรวจ สน.บุปผาราม ว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.64 จำเลยได้เข้าร่วมในกิจกรรมชุมนุม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” เป็นการชุมนุมโดยไม่ได้ขออนุญาต และปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันและมาตรา 112 อันเป็นการผิดเงื่อนไขการประกันตัว อัยการจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการปล่อยตัว ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยยังเป็นนักศึกษา ระหว่าง และหลังวันที่ 24 มิ.ย. ไม่ปรากฏเหตุว่า จำเลยได้มี การกระทำผิดเงื่อนไข หรือมีการกระทำผิดสัญญาประกันตัวซ้ำอีก จึงได้ตักเตือนจำเลย และมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง

17 เยาวชนปลดแอกรอดนอนคุก

ที่ศาลอาญา พนักงานอัยการนำตัวนายวชิรวิชญ์ ลิมปธนวงศ์ พร้อมพวกรวม 17 คน มาฟ้องเป็นจำเลย กรณีร่วมชุมนุมกับกลุ่มเยาวชนปลดแอกหรือ Free youth ระหว่างวันที่ 8 ต.ค.-14 ต.ค.63 โดยไม่แจ้ง ขออนุญาต สน.สําราญราษฎร์ ตั้งเวทีใช้รถกระบะติดเครื่องขยายเสียงรื้อรั้วเหล็ก และกีดขวางการจราจร ชูป้ายยกเลิกมาตรา 112 พวกจำเลยทั้ง 17 คน ต่อสู้ ขัดขวางเจ้าพนักงานไม่ให้จับตัวแกนนำกลุ่มราษฎร ใช้สีอะคริลิกสาดใส่เจ้าพนักงานตำรวจ รวม 16 คน ผิดฐานร่วมกันมั่วสุมกว่า 10 คน ขึ้นไป ก่อความวุ่นวาย ในบ้านเมือง ผิด พ.ร.บ.โรคติด ต่อ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย และข้อหาอื่นๆ ศาลประทับรับฟ้องไว้และนัด ตรวจพยานหลักฐานวันที่ 1 พ.ย.จำเลยทุกคนยื่นเงินสด 3.5 หมื่นบาทขอประกันตัว ศาลอนุญาต