ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงบ่ายๆของวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา...วันพระใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชนชาวไทย ดังที่เขียนกราบเรียนท่านผู้อ่่านไว้แล้ววันอาสาฬหบูชาปีนี้นับว่ามีความหมายอย่างยิ่งแก่ผมถึง 2 ประการ...ประการแรกก็คือการสวดมนต์น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณพระธรรมคุณ และพระสังฆคุณดังที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำทุกๆวันพระใหญ่่ประการที่ 2 วันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ยังตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 90 ปี ของบุคคลที่ผมเคารพนับถืออย่างยิ่งท่านหนึ่งอีกด้วยจึงขออนุญาตที่จะเขียนแสดงมุทิตาจิตต่อท่านย้อนหลังในวันนี้... แม้ว่าจะได้ลงตีพิมพ์ในวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม ก็คงจะไม่ช้าจนเกินไปนักท่านอาจารย์ ดร.เสนาะ อูนากูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัย คุณอานันท์ ปันยารชุน, อดีตเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงและจดจำท่านได้...นั่นแหละครับผลงานโดดเด่นของท่านที่สื่อมวลชนยังกล่าวขวัญอยู่เสมอมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่นำพาประเทศไทยจากยุคเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซึมเซาไปสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” ในช่วงเวลา 8 ปี ที่ป๋าบริหารประเทศส่งผลให้ประเทศไทยก้าวข้ามจากประเทศเกษตรกรรมเต็มตัว ไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่...ที่มีทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมเป็นรายได้หลักของประเทศเคียงคู่กันเป็นที่ทราบกันดีว่า ฉายา “เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 แห่งเอเชีย” หรือเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชียที่สื่อมวลชนต่างประเทศขนานนามให้แก่รัฐบาลป๋าเปรมนั้น...ผู้อยู่เบื้องหลังที่สำคัญยิ่งก็คือ ท่านอาจารย์ ดร.เสนาะ อูนากูล ในฐานะเลขาธิการสภาพัฒน์ นั่นเองท่านเป็นแม่งานใหญ่ในการจัดเตรียมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-2529) และฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ซึ่งมุ่งเน้นการเจริญเติบโตของประเทศควบคู่ไปกับการกระจายผลการพัฒนาสู่ภูมิภาค และชนบทและการพัฒนาสังคมด้านต่างๆเพื่อให้การดำเนินงานตามแผนพัฒนาสำเร็จลุล่วงด้วยดี ท่านเสนอให้มีการจัดตั้ง ครม.เศรษฐกิจ โดยมีสภาพัฒน์เป็นฝ่ายเลขานุการ, จัดตั้ง คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า กรอ. เพื่อดึงพลังภาคเอกชนให้มารวมกับภาครัฐในการพัฒนาประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยขณะเดียวกันเพื่อให้การกระจายการพัฒนาสู่ภูมิภาคและชนบทเป็นไปอย่างได้ผล ท่านก็เสนอให้ตั้ง คณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและท่านเป็นเลขานุการขึ้นอีกชุดหนึ่งรวมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการที่เปรียบเสมือนการพัฒนาเชิงรุกของประเทศ ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ อีสเทิร์นซีบอร์ด ที่โด่งดังไปทั่วโลกและเป็นที่มาของการก้าวเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่และคำว่า “โชติช่วงชัชวาล” ในยุคนั้นส่งผลให้การพัฒนาประเทศเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วและสื่อมวลชนต่างประเทศที่โด่งดังระดับโลก เช่น ไทมส์, นิวสวีค และ ดิ อีโคโนมิสต์ ได้พร้อมใจกันยกฉายา “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” และ “เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย” แก่ประเทศไทยดังได้กล่าวไว้แล้วป๋าเปรมก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2531 นับถึงบัดนี้เป็นเวลาเกือบ 33 ปี แต่การวางรากฐานทางเศรษฐกิจเอาไว้ครั้งนั้นได้มีผลทำให้ประเทศไทยก้าวเดินมาได้ถึงจุดที่เรียกว่าประเทศ รายได้ปานกลางขั้นสูง ในที่สุดผมในฐานะลูกน้องเก่าท่านอาจารย์ ดร.เสนาะ อูนากูล ก็ขออนุญาตนำความสำเร็จเมื่อครั้งกระโน้นมาเล่าสู่กันอ่านเผื่อจะช่วยประโลมหัวใจอันท้อแท้ในยามโควิด-19 ระบาดได้บ้างเนื่องในโอกาสที่ขุนพลเอกด้านเศรษฐกิจของป๋าเปรมมีอายุครบ 90 ปี ไปเมื่อ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้ท่านอาจารย์ จงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย อายุ วรรณะ สุขะ พละ อยู่เป็นมิ่งขวัญของครอบครัวญาติมิตร และลูกศิษย์ลูกหาไปตราบนานแสนนานขอกราบขอบพระคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านอาจารย์อุทิศตน และทุ่มเทให้แก่ประเทศชาติไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ.“ซูม”