นอนตายข้างถนน ชีวิตจริงบัดซบยิ่งกว่าในภาพยนตร์ ประเทศไทยมาถึงจุดวิปโยค โรคระบาดคร่าประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วง
ติดเชื้อนิวไฮต่อเนื่อง ล้อกับตัวเลขคนเสียชีวิตจากโควิดรายวันทะลักหลักร้อย กดไม่ลง ตามเงื่อนไขสถานการณ์สถิติที่เพิ่มขึ้นแต่ละศพ บาปเคราะห์ก็โหลดไปที่ผู้นำ อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม แม่ทัพใหญ่ ศบค.ที่ต้องโดนเสียงก่นด่า โห่ไล่
แต่ยังกัดฟัน ประกาศไม่ถอย ไม่ลาออก ปักหลักสู้จนกว่าจะชนะ
แต่ล่าสุด แกะรอยตามอาการของนายกฯที่ระบายความอัดอั้นในที่ประชุม ครม.ออนไลน์ เป็นนัยฉุนเฉียวกับคำถามสื่อที่ส่งไปจี้ปมพรรคร่วมรัฐบาลทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ถูกจี้ให้ถอนยวงจากรัฐบาล
ใครจะทิ้งก็ทิ้งไป แต่ตนเองไม่ทิ้งใคร ขอไปต่อ
อ่านน้ำเสียงคำพูดผ่านประโยคอ้อน “ง้อ” พรรคร่วมรัฐบาลให้ผูกเสี่ยวลุยไฟ สะท้อนอารมณ์เบื้องลึก ผู้นำชัก “ใจฝ่อ” ผิดสไตล์ “บิ๊กตู่” คนเก่า ผู้นำทหารเฒ่าไม่ “ห้าวเป้ง” เหมือนเดิม
ท่ามกลางเสียงตะโกนถามดังอื้ออึงภายนอก ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม
ปรากฏการณ์ดารา นางเอก พระเอก ระดับตัวแม่ ตัวพ่อของวงการ เซเลบแถวหน้า ไม่เว้นแม้แต่พระนักเทศน์ชื่อดังยังออกมา “Call out” ส่งเสียงไปถึงรัฐบาล
กระแส “สุดขีดความอดทน” กับการบริหารวิกฤติโควิด
และแน่นอน โดยสถานะดาราแม่เหล็กของเมืองไทย นางเอก พระเอกเบอร์ต้นๆ ยอดคน follow หลักล้าน นั่นหมายถึงการกระตุกกระแสประชาชน กระตุ้นอารมณ์สังคมไม่ทนต่อรัฐบาล
มันคือแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว 7 แมกนิจูด
ถามว่ามีผลแค่ไหน สังเกตจากอาการสะดุ้งกระแส ฝ่ายคุมอำนาจนั่งไม่ติด
...
ทีมอำนาจ 3 ป. ต้องส่ง “เฮียโอ๋” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส สวมบท “เกสตาโป” แยกเขี้ยวขู่ ตีคู่มากับ “ทนายหน้าหอ” ทีมแห่ พปชร. ตั้งท่ายัดคดี พ.ร.บ.คอมฯและข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เขย่าขวัญดาราคนดังที่ออกมา Call out โจมตีรัฐบาลจัดการโควิดห่วย ระวังโดนเล่นงานโทษฐานนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ
โดยไม่สนเสียงโห่ “เผด็จการ” มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู
ฝ่ายถืออำนาจขู่ประชาชนไม่ให้ขยาย “fake news” แต่กลับกัน รัฐบาลก็ไม่เสนอ “fact news”
ไม่พูดความจริง ปกปิดข้อมูลที่ประชาชนควรรู้
จนในที่สุดก็ประจานด้วยสถานการณ์ ถึงจุดโป๊ะแตก “จนแต้ม” อั้นไม่ไหว
อาการแบบที่ “หมอตี๋” นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข แฉเอง วัคซีนม้าเต็งยี่ห้อแอสตราเซเนกาไม่สามารถส่งให้ประเทศไทยได้ตามกำหนดที่ดีลไว้ ต้องลากยาวออกไปเดือนพฤษภาคมกลางปี2565
เผือกร้อนหล่นไปที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ได้รับเอกสารเป็นสัปดาห์แต่เพิ่งมาเปิดเผยหนังสือตอบกลับบริษัทแอสตราฯเร่งให้ส่งวัคซีนตามนัด ภายหลังจากที่ข่าวหลุด
โดยสภาพการณ์ มันคือจุดเชื่อมโยงสูตรวัคซีนสลับยี่ห้อ
เพราะแอสตราฯ “ม้าเต็ง” ไม่มาตามนัด ในขณะที่รัฐบาลก็ยังดันทุรังสั่งวัคซีน “ม้ารอง” ซิโนแวค เข้ามาอีกนับ 10 ล้านโดส มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ท่ามกลางสังคมไม่มั่นใจประสิทธิภาพ ตอกย้ำความผิดพลาดของกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบจัดหาวัคซีนลอตแรกตั้งแต่กลางปี 2563
เพราะ “ย่ามใจ” ไม่เผื่อความเสี่ยงในการจองวัคซีนหลายยี่ห้อ
พอ “ความแตก” ก็ไหลต่อเนื่องมาถึงช็อตที่ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตั้งโต๊ะแถลงขอโทษประชาชน สารภาพเต็มปากเต็มคำ ไม่สามารถจัดหาวัคซีนได้ทันในปีนี้
“บากหน้า” กลับไปขอรับบริจาควัคซีนจากโครงการ “โคแวกซ์” เพื่อจัดหาวัคซีนให้ได้ในต้นปี 2565
สอดรับกับข่าววงในนายกรัฐมนตรีพบซีอีโอบริษัทชั้นนำ มีการขอร้องกึ่งสารภาพต้องให้เอกชนเป็นตัวช่วยในการเจรจาจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะเยอรมนี สหรัฐอเมริกา
ไม่เกี่ยง แพงเท่าไหร่ก็พร้อมซื้อไม่อั้น
โดยสถานการณ์ “จนแต้ม” ลำพังศักยภาพของรัฐบาล “พลาด” ในการจัดซื้อวัคซีนมาตั้งแต่ต้น
เพิ่งมาเร่งเครื่องกันตอนตลาดวายแล้ว โดยแนวโน้มสถานการณ์ที่แทบไม่เหลือความเชื่อมั่น ต่อให้รัฐบาลตีปี๊บดีลวัคซีนเทพ ทั้งยี่ห้อไฟเซอร์ โมเดอร์นา จะมาไตรมาส 4 หรือต้นปีหน้า
อารมณ์สังคมบางส่วนไม่ให้ราคา เพราะฟาวล์แล้วฟาวล์อีก มาตลอด
ที่แน่ๆตามสภาพการณ์มาถึงตรงนี้ ความเป็นไปได้ของแผนการสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ฉีดวัคซีนให้คนไทยร้อยละ 70 ของประชากร 65 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564 เป็นภาพในฝันที่ “เลือนราง” เต็มที
ขณะที่โลกแห่งความจริง ภาพโควิดมรณะไล่ล่า ยอดคนตาย สะสมใกล้แตะ 4 พันศพ อาการหนักในไอซียูอีกกว่า 4 พันคน ติดเชื้อ 3–4 แสนราย ภาพคนป่วยโควิดถูกปล่อยให้นอนตายคาถนน ไร้คนเหลียวแล สภาพน่าสมเพชเวทนา เหมือนที่เคยมองอินเดียยังไงยังงั้น
แต่วันนี้ประเทศอินเดียดีกว่าไทย เพราะแนวโน้มโควิดขาลง ยอดการติดเชื้อสูงแต่ยอดคนฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันหมู่ก็อยู่ในวิสัยรัฐบาลจัดการได้ ตรงข้ามกับไทยโควิดขาขึ้น แต่รัฐบาลไปไม่เป็น
ในเชิงบริหารผู้นำรัฐบาลเดินมาถึงจุดอับ “ทางตัน” ในการรับมือไวรัสวิปโยค
ถ้าเป็นมวย “บิ๊กตู่” ก็โดนถล่มใกล้หมดสภาพ ต้องหามเข้ามุม
แต่ด้วยวิสัยธรรมชาตินักการเมืองแบบไทยๆที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวมาก่อนอื่นใด ตามปรากฏการณ์พอนายกฯพูดใน ครม.ตัดพ้อใครจะทิ้งก็ทิ้งไป ก็มีเสียงขานรับเซ็งแซ่ ทั้งจากยี่ห้อภูมิใจไทย โดยเฉพาะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ แสดงท่าทีชัดกว่าใคร บอกสื่อไม่จำเป็นต้องตอบเรื่องถอนตัวอีกแล้ว เพราะจะเกาะขบวนรัฐบาลไปจนวาระสุดท้าย
ภายใต้สายสัมพันธ์บางๆ แต่เส้นทางกอบโกยเสบียงอย่างหนา
รัฐบาลผสม 3 ป. ไม่ล้มง่ายๆ แม้นั่งร้านพังแหล่มิพังแหล่
โดยสภาพถูลู่ถูกังเต็มที “บิ๊กตู่” ลากไปต่อ ทั้งๆที่ใจฝ่อ กับพรรคร่วมรัฐบาลที่กอดคอตุ๊ยท้อง ฉุดกระชากลากถูกันไป ภายใต้ธาตุแท้ที่เห็นกันยันไส้ ถึงจังหวะจวนตัวก็โยนขี้ โบ้ยความผิดใส่กันแบบไม่แคร์สื่อ
คนนอกยังเห็นได้ถึงอาการไร้ความจริงใจ นั่นก็ไม่ต้อง พูดถึงคนในอย่าง “บิ๊กตู่” ที่รู้อยู่เต็มหัวอก
ถึงจุด “แตกหัก” ข้าวหมดหม้อเมื่อไหร่ ผลประโยชน์ขัดกันก็ “บรรลัย”
และหนีไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ที่ต้อง “หนักหน้า” มากกว่าใคร
ท่ามกลางภาวะเสี่ยงโรคแทรก ภูมิต้านทานรัฐบาลที่ใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นหลัก แอสตราเซเนกา กะปริบกะปรอย วัคซีน mRNA ไม่มาถึงเมืองไทย อาการผู้นำ อ่อนล้า อ่อนแรงเต็มที
อารมณ์แบบที่เห็นภาวะ “สะท้าน” กระแสดีดกลับ
อาการรีบถีบหัวเรือส่ง “ทนายหน้าหอ” พรรคพลังประชารัฐดาหน้ากันออกมาบอกปัดนายสนธิญา สวัสดี ไม่ใช่สมาชิก พปชร. การขู่ฟ้องดาราคนดัง Call Out เป็นพฤติการณ์ส่วนตัวของอดีตผู้สมัคร ส.ส.สอบตก ไม่ใช่คำสั่งของนายกฯ เช่น “เฮียโอ๋” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ออกตัวล้อฟรี ไม่ได้ขู่เล่นงาน พ.ร.บ.คอมฯกับคนดังที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล
พฤติการณ์ “เรียกแขก” ได้ผลเกินคาด มากันมืดฟ้ามัวดิน
นอกจากไม่กลัวคำขู่ของทีมเกสตาโป ดาราคนดังยังพาเหรดกันออกมาขย่มซ้ำ
ตามรูปการณ์ทีมอำนาจทหาร เฒ่า 3 ป. โดนจนจุกเสียดแน่น ไม่พร้อมเสี่ยงปะทะกับคลื่นดารา Call Out ซึ่งก็เป็นอีกช็อตที่เห็นได้เลยว่า สุดท้ายแรงกระแทกก็ไหลไปกองที่ผู้นำคือ “บิ๊กตู่”
ผู้นำแบกรับ “หลังแอ่น” อยู่คนเดียว
แต่ทั้งหมดทั้งปวง จุดที่ต้องลุ้นจุดเสียวหนักเลย ล่าสุดนิสิตจุฬาฯ ชาวจังหวัดสงขลา สวมหัวใจสิงห์ ขึ้นโรงพักแจ้งความดำเนินคดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ต่อเนื่องจากคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณาจารย์กฎหมายออกมาชี้ช่องเอาผิด ผู้บริหารประเทศจัดการโควิดผิดพลาดประมาท เลินเล่อ ทำให้ประชาชนคนตายจำนวนมาก
นี่แหละคือ “จุดวัดใจ” ในสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศสู้ไม่ถอย กัดฟันลากอำนาจลุยโควิดต่อไป ในภาวะใจฝ่อ สถานภาพรัฐบาลง่อนแง่น ไร้ศักยภาพ ในเชิงบริหาร
และขึ้นชื่อว่า “เดิมพัน” มันต้องมีได้มีเสีย
ยิ่งรอบนี้เป็นความเสี่ยงของประเทศไทย มีชีวิตประชาชนตาดำๆเป็นเดิมพัน
ถ้าได้ พล.อ.ประยุทธ์ เอาโควิดอยู่ วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันหมู่ฉีดทันสิ้นปี 2564 สามารถเปิดประเทศได้ตามที่ประกาศ 120 วัน งานนี้แผนลากยาวอำนาจ เลือกตั้งรอบต่อไปยากจะมีใครมาแข่ง
ถ้าเสีย สกัดไวรัสมรณะไม่ได้ คนตายเป็นใบไม้ร่วง เศรษฐกิจพังพินาศ
โอกาสที่ “บิ๊กตู่” เสี่ยงเดินย่ำรอยอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โดนคดีจำนำข้าว ฐานเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศ
เหตุการณ์หนีไม่พ้นไหลไปจบ ณ จุดเดียวกัน.
“ทีมการเมือง”