หลังจากที่ สำนักข่าวอิศรา นำสัญญาสั่งซื้อ วัคซีนแอสตราเซเนกา มาเปิดเผย ดูจาก ไทม์ไลน์ ที่รัฐบาลเคยประกาศไปก่อนหน้านี้คุยว่า ตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไปจะมี แอสตราเซเนกา เข้ามาเดือนละ 10 ล้านโดส ไปจนถึงเดือน ธ.ค.จะเข้ามาเป็นงวดสุดท้าย 5 ล้านโดส รวมแล้วเราสั่งซื้อแอสตราฯไว้ถึง 61 ล้านโดส
ปรากฏว่า เรื่องจริงเป็นหนังคนละม้วน เราเพิ่งสั่งจองแอสตราฯ เมื่อเดือน ม.ค.64 ครั้งแรก กับ เดือน พ.ค.เป็นครั้งที่ 2 รวมกันแล้ว 61 ล้านโดสจริง ได้รับมาแล้ว 6 ล้านโดสจริงแต่ ไทม์ไลน์ ที่จะได้รับวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เป็นเรื่องไม่จริง เพราะตกลงกันว่า จะได้รับวัคซีนในสัดส่วนการผลิตประมาณเดือนละ 3 ล้านโดส จากประมาณ 15 ล้านโดส เพราะแอสตราฯต้องส่งให้ ประเทศที่จองเอาไว้ก่อนเราตั้งแต่ปี 2563 แล้ว ซึ่งแอสตราฯยังบอกด้วยว่าถ้าเขาผลิตได้มากขึ้นก็จะแบ่งให้เราเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 5-6 ล้านโดสได้ กระทรวงสาธารณสุข ของเราเพิ่งจะทำหนังสือขอเป็นเดือนละ 10 ล้านโดสเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมานี้เอง ก็แสดงว่า ที่รัฐบาลประกาศว่าจะมีแอสตราฯเข้ามาเดือนละ 10 ล้านโดสในช่วงที่วัคซีนขาดแคลนก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียง วัคซีนมโน เท่านั้นใช่หรือไม่
พอเรื่องนี้แดงออกมา รัฐขายหน้าแน่นอน ก็เลยเสนอทางออก โดยจะใช้ กฎหมายวัคซีนแห่งชาติ นี่แหละไปบังคับเรื่องการส่งออกวัคซีนที่ผลิตในบ้านเรา พูดง่ายๆว่าจะให้เขาลดการส่งออกเพื่อเราจะได้โควตาวัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นดาบสองคม เพราะ แอสตราฯ จะถือตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เป็นหลัก และในสัญญา ถ้าเรามีเงื่อนไข หรือข้อแม้อะไรเพิ่มเติม เขาสามารถที่จะยกเลิกสัญญา ยึดเงินประกัน ได้ทันที โดยที่เราไปทำอะไรแอสตราฯไม่ได้เลย เนื่องจากเป็นการทำสัญญาที่เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น
...
นอกจากนี้ ยังเห็นข่าวว่ามี ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ออกมาแก้ต่างให้กับรองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า ที่จริงแล้ว อนุทิน ไม่ได้รับทราบในรายละเอียดของสัญญาดังกล่าว เป็นเรื่องของตัวแทนที่ไปดำเนินการ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะสังคมก็จะตั้งคำถามตามมาอีกว่า เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ ทำไมผู้บริหารกระทรวงถึงไม่เอาใจใส่ แสดงถึงความรับผิดชอบที่มีต่อเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน
สถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นภัยคุกคามประเทศ และประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิตวันละเป็นร้อยป่วยวันละเป็นหมื่น ถือว่าหนักหนาสาหัสมากที่สุดของประเทศ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทุกส่วนทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้นำ ผู้บริหาร ควรต้องทุ่มเทแก้ไขปัญหาก่อนที่ ประชาชน จะตายไปมากกว่านี้ ไม่ใช่สนใจเรื่องอวกาศ สนใจเรื่องเรือดำน้ำ สนใจเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เหมือนประเทศไทยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่ผ่านมา ก็ปล่อยให้มี การทุจริตคอร์รัปชันกันบานตะไท เงินทอน เงินปากถุง หากินกับเวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ กันมาเยอะแล้ว โกงแม้กระทั่งเสาไฟฟ้า บ่อขยะ โกงกันตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ รัฐทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่เที่ยวนี้ คือความเป็นความตายของคนทั้งประเทศ ถ้าประเทศไม่มีประชาชน ก็ไม่สามารถจัดองค์ประกอบเป็นประเทศได้ ถ้าปกครองในภาวะที่ประชาชนตกอยู่ในความยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th