“บิ๊กตู่” ขอประชาชนเชื่อมั่นวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ไทยเลือกใช้มีประสิทธิภาพ WHO ให้การรับรอง พร้อมเร่งจัดหาเพิ่มเติมให้ทุกคนได้ฉีด ชี้ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือโควิดระบาด
วันที่ 15 ก.ค. 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า วัคซีนที่รัฐบาลเร่งจัดหาให้เป็นวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศทั้ง 3 ยี่ห้อในขณะนี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยที่แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) และซิโนแวค (Sinovac) ซึ่งเป็นวัคซีนหลัก และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกนั้น ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยา (อย.) และได้รับการยืนยันทางการแพทย์และนักระบาดวิทยาว่ามีประสิทธิภาพ สามารถลดอัตราการเสียชีวิต และอัตราการเกิดอาการรุนแรงของผู้ติดเชื้อ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีแผนการนำเข้าวัคซีนต่างเทคโนโลยี อาทิ วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) และวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเป็นเทคโนโลยี mRNA และวัคซีนจอห์นสันแอสนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Viral Vector Vaccine เช่นเดียวกับแอสตราเซเนกา ขณะที่ ซิโนแวค และซิโนฟาร์มเป็น Inactivated Vaccine (วัคซีนเชื้อตาย) เพื่อให้ความมั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสามารถลดภาวะเจ็บป่วยรุนแรง
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนแอสตราเซเนกา เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2564, วัคซีนซิโนฟาร์ม เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ขณะที่วัคซีนทั้ง 3 ยี่ห้อ องค์การอาหารและยา ได้อนุมัติเพื่อให้สามารถใช้ในภาวะฉุกเฉิน ส่วนแอสตราเซเนกา เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ซิโนแวค วันที่ 22 ก.พ. 2564 และซิโนฟาร์ม วันที่ 28 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา
...
“วัคซีนที่ไทยนำเข้ามาใช้ทั้ง 3 ยี่ห้อมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยแอสตราเซเนกามีการใช้แล้วใน 118 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ซิโนแวคมีใช้ใน 37 ประเทศ และซิโนฟาร์มมีการใช้ 56 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (The Vaccine Alliance หรือ Gavi) ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือระหว่างองค์กรรัฐและเอกชน ซึ่งมีทั้ง องค์การอนามัยโลก และยูนิเซฟ (UNICEF) ร่วมเป็นสมาชิก มีแผนการจัดส่งวัคซีนกว่า 110 ล้านโดส จากซิโนฟาร์ม จำนวน 60 ล้านโดส และซิโนแวค ประมาณ 50 ล้านโดส ภายในปีนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ในการแจกจ่ายให้กับประเทศยากจนทั่วโลก ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกันในระดับนานาชาติเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโวคิด-19 เพราะทุกประเทศ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและเห็นสอดคล้องว่า วัคซีนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับระบาดไปอีกอย่างน้อยใน 1-2 ปีข้างหน้า” นายอนุชา กล่าว