ก่อนเลือกตั้งใหญ่ แก้รัฐธรรมนูญคือด่านสำคัญ แม้รัฐบาลจะหลุดพ้นจากวังวนปัญหาที่หนักมาตลอด โดยเฉพาะโควิด-19 ถึงกับระส่ำระสายเลยทีเดียว กว่าจะตั้งหลักได้ก็เหนื่อยไม่น้อย
จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้ประกาศ “เปิดประเทศ” ภายใน 120 วัน เริ่มจากวันที่ 1 ก.ค.64 เป็นต้นไป
ทุกอย่างจึงคลี่คลายไปในทางที่ดีเพียงแต่เดินหน้าไปตามแผนที่วางเอาไว้ เพราะคนทั้งประเทศรู้แล้วว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
เรื่อง “วัคซีน” คงไม่ต้องพูดถึงกันอีกแล้ว อยู่ที่การเปิดประเทศโดยจะใช้ภูเก็ต “นำร่อง” ซึ่งมีการกำหนดกฎกติกาและหลักเกณฑ์ต่างๆเอาไว้แล้ว
ดูแล้วก็ไม่น่าจะยาก ที่ว่าอย่างนี้เพราะจะเป็นความร่วมมือจากคนทุกฝ่ายทุกอาชีพ ซึ่งจะมีความสร้างสรรค์มากกว่าจะทำให้เกิดปัญหา อย่าต้องให้เสีย “ค่าโง่” อีกก็แล้วกัน
อีกด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาลคือ การเมืองในก้าวต่อจากนี้ไป ซึ่งรูปการณ์น่าจะหนักไม่น้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นชนวนสำคัญ
เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะส่วน คือ รัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่มันจะกินความครอบคลุมการเมืองไปทั้งระบบ คือจะต้องเอาแพ้-ชนะกันให้รู้กันไปเลย
นั่นเพราะสถานการณ์การเมืองเดินมาถึงจุดกำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ด้านหนึ่งก็เป็นไปตามวาระคือ ครบเทอม 4 ปี แต่ที่ฝ่ายต่อต้านทั้งปวงคิดก็คือจะต้องตัดวงจรอำนาจเสียก่อน
“รัฐธรรมนูญ” ก็คือโซ่ตรวนสำคัญ แม้ความเห็นในขั้วฝ่ายค้านจะต่างกันบ้าง แต่ที่สุดก็จะสามารถร่วมมือกันเพื่อเอาชนะเกมนี้ให้ได้
...
“พลังประชารัฐ” อ่านเกมนี้ออก การชิงยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัดหน้าฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคจึงถูกจัดอยู่ในวาระสำคัญ
โดยหวังใช้เสียงจากพลังประชารัฐและ 250 ส.ว.เป็นคำขู่ เป็นตัวขับเคลื่อน บีบบังคับให้พรรคการเมืองที่สนใจการกาบัตร 2 ใบต้องให้การสนับสนุน
แต่ไม่แตะต้องวุฒิสมาชิก เรื่องกาบัตร 2 ใบนั้นพรรคเพื่อไทยยกมือให้แน่ เพราะเจอแบบกาใบเดียวจนทำให้ต้องพ่ายแพ้การเมืองมายาวนาน
พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความเห็นต่างกันเพราะไปมองที่ผลได้เสียว่าแบบไหนจะทำให้ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์
ถึงขนาดแตกแบงก์พันก็เจ็บมาแล้ว เหนืออื่นใด หากโควิด-19 จบ ประเทศเดินหน้าต่อไปเศรษฐกิจขยับตัวดีขึ้น เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเบาหวิวปลิวลมไปเลย.
“สายล่อฟ้า”