อารมณ์คนกลัวตาย หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ในภวังค์มืดมนไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อขีดความอดทนถึงที่สุดก็ได้เห็นตัวอย่างแล้ว กับฉากปรากฏการณ์ที่ประชาชนชาวบราซิลทั่วประเทศออกมาเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดี “ฌาอีร์ โบลโซนารู” ม็อบอาละวาดใน 16 เมืองใหญ่
บี้ให้ “ถอดถอน” ออกจากตำแหน่งผู้นำ โทษฐานล้มเหลวในการรับมือวิกฤติโควิด-19
ต้องสังเวยด้วยชีวิตชาวบราซิลไปกว่าครึ่งล้านศพ รุนแรงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา เพราะขาดวิสัยทัศน์ในการบริหาร ประเมินสถานการณ์โรคไวรัสระบาดผิดพลาด
เอาชีวิตประชาชนไปเสี่ยงกับความบ้อท่าของตัวผู้นำ
ตามสไตล์เกรียน ห้าวเป้งเลียนแบบนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีคาวบอยแห่งสหรัฐอเมริกา และก็เจ๊งระเนระนาดตามๆกัน ก่อนที่อเมริกันจะเปลี่ยนผู้นำใหม่ เป็นประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ที่กู้วิกฤติไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลิกสถานการณ์สหรัฐฯกลับมาตั้งหลักได้ไว
เพราะวิสัยทัศน์ เชิงบริหาร และความไม่ประมาทต่อมหันตภัย ทำให้อเมริกันชนกลับมาปลอดภัย
สะท้อนศักยภาพผู้นำมีผลต่อความเป็นความตายของประชาชนโดยแท้จริง
เกาะติดปรากฏการณ์บราซิล แล้วย้อนมองกลับมาที่ประเทศไทย ณ วันที่วิกฤติไวรัสมรณะโควิด-19 ล้อมเมือง ตัวเลขการติดเชื้อยังไต่ระดับ 4-5 พันรายต่อวัน คนตายเฉลี่ย 30-40 คน ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมทะลุพันราย ล้อตามผู้ป่วยหนักในไอซียูง 500-600 คน สถิติยังหนักหนาสาหัส
แถมคลัสเตอร์ใหม่โผล่รายจังหวัด ไล่สกัดเชื้อลามกันไม่ทัน
...
แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นเกมไล่สกัดข้อมูลรั่วไหล แบบที่ “เสี่ยโอ๋” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส กดปุ่มศูนย์ต่อต้าน “เฟกนิวส์” ไล่บี้เค้นคอ “แพทย์ใหญ่” ระดับ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ฐานโพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงถึงกรณีที่ผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในต่างจังหวัด พบว่าผู้บริหารให้ข่าวว่าเสียชีวิตจากเหตุอื่น ถือว่าจงใจปกปิดข้อมูลทำให้ภาพรวมการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่ำกว่าความเป็นจริง พร้อมทั้งตั้งเครื่องหมายคำถามภาคการแพทย์ถูกข้าราชการการเมืองแทรกแซงจนสูญเสียด้านคุณธรรมจริยธรรม
แต่โดน “ศอกกลับ” นิ่มๆ อาจารย์หมอนิธิพัฒน์ระบุ โฆษก ศบค.แถลงชัดว่ารับเรื่องไปแล้ว เตรียมถกหลักการลงสาเหตุการเสียชีวิตในรายงานทางการแพทย์ ให้ศูนย์เฟกนิวส์ไปถามกระทรวงสาธารณสุขดีกว่า
โดยสถานการณ์วัดค่าระดับค่า “ความจริง” ระหว่าง “นักการเมือง” กับ “แพทย์ใหญ่”
สังคมจะให้น้ำหนักฝั่งไหนมากกว่า มันน่าจะเดาทางกันได้
ในสภาวะความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกระตุกไม่ขึ้น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ผู้รับบท “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ยังดึงความมั่นใจผู้คนกลับมาไม่ได้
ภายใต้ฉาก “อำนาจซ้อนอำนาจ” การบริหารจัดการวัคซีนที่มั่วไปหมด
กลายเป็นหน่วยงานอย่าง “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” ที่แทรกตัวเข้ามาผ่าทางตัน ทลายกำแพง “ผูกขาด” การนำเข้า “วัคซีนตัวเลือก” ให้บริษัทเอกชน หน่วยราชการ องค์การบริหารส่วนจังหวัด แห่จองกันไม่ทัน
“ซิโนฟาร์ม” ลอตแรก 1 ล้านโดส เกลี้ยงในไม่กี่ชั่วโมง
แต่ภายใต้เงื่อนไขไม่ได้ปล่อยโควตาง่ายๆบังคับให้ต้องจองผ่านองค์กรเอาไปฉีดให้บุคลากรเป็นกรุ๊ปใหญ่ ประชาชนรายย่อยทั่วไปไม่สามารถจองซื้อแล้วฉีดได้
ชาวบ้าน ตาสี ตาสา ยังต้องแหงนคอรอวัคซีนกันต่อไป
ที่แน่ๆจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์มันก็ยังอยู่ที่วัคซีนฟรี ลอตหลักที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขสั่งจองยี่ห้อ “แอสตราเซเนกา” จากยุโรป 60–70 ล้านโดส วางคิวเริ่มต้นฉีดให้ประชาชนในวันที่ 7 มิถุนายนนี้
นี่ก็ย่างเข้าต้นเดือนมิถุนายนแล้วยังไม่มีไฟลท์บินมา ตามกระบวนการนำเข้ามาแล้วต้องทดสอบคุณภาพ หลักประกันความปลอดภัยอย่างน้อย 7–10 วัน นั่นหมายถึงปฏิทินที่ล็อกไว้ส่อเลื่อน
อาการ “แพนิก” ไวรัสมรณะ คนโมโหวัคซีนล่าช้าลามทุกหัวระแหง
ไหนจะต้องขยะแขยงการเมืองเน่า ตามฟอร์ม ได้ยินเสียงเคาะกะลา กฎหมายงบประมาณจ่อเข้าสภาฯทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 พ.ร.ก.เงินกู้โควิด 5 แสนล้าน เค้กก่อนใหญ่กองตรงหน้า กระตุกพรรค “ปัดเศษ” ค่ายเล็กค่ายน้อยเจี๊ยวจ๊าว รวมตัวทบทวนร่วมรัฐบาล ตั้งท่าถอนสมอจากการหนุนอำนาจ “บิ๊กตู่”
โดนดักทาง แค่ขู่ขอ “กล้วย” แจมเศษเนื้อข้างเขียงเท่านั้น
ส่วนขาใหญ่อย่างพรรคภูมิใจไทย ค่ายประชาธิปัตย์ จับทาง “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ที่เสียงแข็งยังไง ก็ไม่ถอนตัวจากรัฐบาลแน่นอน เช่นเดียวกับ “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ที่ย้ำแล้วย้ำอีก ไม่มีเหตุที่ต้องสละเรือ
ใครที่เชื่อข่าว ปชป.กับภูมิใจไทยถอนตัว มีหวังออกลูกเป็นลิง
อย่าหลงในสิ่งที่เห็น ฉากทีมเซราะกราวที่ปล่อย “ลูกกรอก” ออกมาชนกับ “ควายธนู” ค่ายพลังประชารัฐ มันก็แค่ปาหี่ ลิเกโรงใหญ่ตบตาคนดู แค่ลีลาขู่กันยื้อเดิมพันวัคซีนโควิด รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีส้ม
พอได้สมประโยชน์ก็เลิกเฮี้ยว จูบปากกันหลังโรง.
ทีมข่าวการเมือง