ศาลชั้นต้นตัดสินคดี กปปส.ชุมนุมชัตดาวน์กรุงเทพฯปี 56-57 ยกฟ้องคดีกบฏข้อหาเดียว แต่ผิดข้อหายุยงปลุกปั่นให้หยุดงาน และบุกรุกสถานที่ราชการโดยทำให้ทรัพย์สินเสียหาย กระด้างกระเดื่องในบ้านเมือง และขัดขวางการเลือกตั้ง ลงทัณฑ์กราวรูด 27 คน “สุเทพ” โดน 5 ปี “ณัฏฐพล” รมว.ศึกษาฯ โดน 6 ปี 16 เดือน “บี-พุทธิพงษ์” รมว.ดีอีเอสโดน 7 ปี “ถาวร เสนเนียม” รมช.มหาดไทย โดน 5 ปี ให้รอลงอาญา 12 คน อาทิ อัญชะลี ไพรีรัก ทยา ทีปสุวรรณ ยกฟ้อง 12 คน และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 7 คน หลังฟังคำพิพากษาทั้งหมดยื่นประกันวงเงิน 6 แสนบาท แต่ให้ประกันบางส่วน ยกเว้น 8 คนระดับแกนนำที่โดนโทษหนัก “อัยการธนกฤต” ผอ.นิติวัชร์ เผย หากศาลลงโทษ รมต.จำคุก แม้คดียังไม่ถึงที่สุดต้องหลุดจากตำเเหน่ง ส่วน ส.ส.ต้องรอจนคดีถึงที่สิ้นสุด หรือศาลสั่งคุมขังระหว่างรออนุญาตให้ประกันตัว “เทือก” ยันอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง “ถาวร” น้อมรับคำพิพากษาพ้น รมต.
ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดี อัยการฟ้องคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จำนวน 39 คน กรณีร่วมชุมนุมชัตดาวน์กรุงเทพฯช่วงปี 2556-2557 ความผิดหลายข้อหา ทั้งกบฏ ยุยงปลุกปั่นให้หยุดงาน บุกรุกสถานที่ราชการ โดยทำให้ทรัพย์สินเสียหาย กระด้างกระเดื่องในบ้านเมือง และขัดขวางการเลือกตั้ง
...
อัยการทำสำนวนฟ้องศาล 39 คน
ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 24 ก.พ. ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็น โจทก์ฟ้องแกนนำ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) 39 คน กรณีร่วมชุมนุมชัตดาวน์กรุงเทพฯ ช่วงเดือน พ.ย.2556 ถึง มี.ค.2557 ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 14.นายถนอม อ่อนเกตุพล 15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 16.นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ 17.
นายสาธิต เซกัลป์ 18.น.ส.รังสิมา รอดรัศมี 19.พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี 20.พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ 21.นายแก้วสรร อติโพธิ 22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 23.นายถวิล เปลี่ยนศรี 24.ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ 25.นายมั่นแม่น กะการดี
ชุมนุมชัตดาวน์กรุงเทพฯปี 56-57
26.นายคมสัน ทองศิริ 27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ 28.นายพิภพ ธงไชย 29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 30.นายสุริยะใส กตะศิลา 31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์ 33.นายสำราญ รอดเพชร 34.นายอมร อมรรัตนานนท์ 35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ 36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 37.นายกิตติชัย ใสสะอาด 38.นางทยา ทีปสุวรรณ 39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทั้งนี้ พล.อ.ปรีชาเสียชีวิตแล้ว ส่วนจำเลยอีกคนมีคดีถูกจำคุกไม่สามารถเบิกตัวมาได้ จึงมีจำเลยเหลือ 37 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษาครบ ฐานร่วมกันเป็นกบฏและข้อหาอื่นๆ กรณีชุมนุมขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป บุกยึดสถานที่ราชการ ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ด้วยการ ตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงรวม 7 จุด เป็นคดีดำที่ อ.247/61 ซึ่งเป็นการรวมสำนวน กปปส. 10 สำนวนรวมเป็น คดีเดียว โดยเรียงชื่อจำเลยใหม่เป็นจำเลยที่ 1-39
“เทพเทือก”นำทัพผู้ต้องหามาครบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า จำเลยทั้ง 39 คน พูดคุยกันและทำใจไว้แล้ว ไม่ว่าผลคำพิพากษา จะออกมาอย่างไร พวกเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง วันนี้พวกเรามาครบทั้ง 39 คน การต่อสู้ของพวกเรา ที่ผ่านมามี 24 คน ที่เสียชีวิต 900 กว่าคนบาดเจ็บ และมีผู้เสียอวัยวะ บางคนถูกลงโทษจำคุก ดังนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ส่วนศาลจะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แต่การต่อสู้ของพวกเราเป็นการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง ยึดมั่นการกระทำที่รับผิดชอบ ไม่ได้ต้องการฝ่าฝืนกฎหมาย เราเคารพกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม และน่าชื่นใจมากทุกกรณีทุกจังหวัดที่พวกเราถูกดำเนินคดี ไม่มีใครหลบหนี ขอบคุณประชาชนที่มาให้กำลังใจ ผ่านออนไลน์ และที่เดินทางมาให้กำลังใจมอบดอกไม้ให้ที่ศาล ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจสำหรับคนที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเพื่อแผ่นดินต่อไป
ปิดถนน–บุกสถานที่ราชการ
ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาเวลา 10.30 น. ใจความว่า อัยการฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 พ.ย.56 ถึง มี.ค.57 ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยุบสภา และประกาศให้เลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ.57 แต่พวกจำเลยไม่ยอมรับจะเข้าบริหารประเทศและเสนอชื่อคณะรัฐบาลขึ้นทูลเกล้าฯเอง ใช้กำลังกระจายปิดสถานที่ราชการสำคัญ บังคับให้ข้าราชการหยุดการปฏิบัติงาน บุกเข้าสถานที่ทำการรัฐคล้องกุญแจ ทำลายทรัพย์สิน ตั้งเวทีปราศรัย จำเลยกับพวกร่วมกันก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องยุยงให้ประชาชนฝ่าฝืนกฎหมายลักษณะก่อการร้าย ขัดขวางการบริการขนส่งสาธารณะปิดถนน 7 จุด อาทิ แจ้งวัฒนะ ห้าแยกลาดพร้าว ราชประสงค์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เหตุเพราะไม่พอใจการบริหารประเทศ และความพยายามนิรโทษกรรมอดีตนายกรัฐมนตรี โดยขัดต่อหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง และขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นต้น ทำให้เจ้าหน้าที่ ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ขอให้ศาลลงโทษและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองกับจำเลยเป็นเวลา 5 ปีด้วย ส่วนจำเลยให้การว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ ไม่ได้ทำลายทรัพย์สิน ข้าราชการของหน่วยงานที่เข้าไปให้การต้อนรับ
คุก “ลุงกำนัน” 5 ปี “บี-พุทธิพงษ์” 7 ปี
คำพิพากษามีความยาว 187 หน้า ศาลใช้เวลาอ่านนานกว่า 7 ชม. ศาลเรียกจำเลยให้ยืนขึ้นทีละคนแล้วให้นั่งลง และอ่านต่อเนื่องโดยไม่พัก พิพากษามีความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ให้หยุดงาน และบุกรุกสถานที่ราชการ โดยทำให้ทรัพย์สินเสียหาย กระด้างกระเดื่องในบ้านเมือง ขัดขวางการเลือกตั้ง ให้จำคุกจำเลยดังนี้ จำคุกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 5 ปี จำคุกนายชุมพล จุลใส จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 9 ปี 24 เดือน จำคุกนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 7 ปี จำคุกนายอิสสระ สมชัย จำเลย 5 เป็นเวลา 7 ปี 16 เดือน จำคุกนายวิทยา แก้วภราดัย จำเลย 6 น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก จำเลยที่ 10 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จำเลยที่ 12 และนายถนอม อ่อนเกตุพล จำเลยที่ 14 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท จำคุกนายถาวร เสนเนียม จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 5 ปี จำคุกนายณัฏฐพล ทีป-สุวรรณ จำเลยที่ 8 เป็นเวลา 6 ปี 16 เดือน
“พุทธะอิสระ” โดนด้วย 4 ปี 8 เดือน
จำคุกนายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ จำเลยที่ 9 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 15 และนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ จำเลยที่ 16 คนละ 4 ปี 8 เดือน จำคุกนายสาธิต เซกัลป์ จำเลยที่ 17 เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 26,666 บาท จำคุก พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี จำเลยที่ 19 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 13,333 บาท จำคุก พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ จำเลยที่ 20 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 13,333 บาท จำคุกนายมั่นแม่น กะการดี จำเลยที่ 25 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 13,333 บาท จำคุกนายคมสัน ทองศิริ จำเลยที่ 26 เป็นเวลา 2 ปี จำคุกนายสาวิทย์ แก้วหวาน จำเลยที่ 29 เป็นเวลา 2 ปี จำคุกนายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยที่ 30 เป็นเวลา 2 ปี จำคุกนายสำราญ รอดเพชร จำเลยที่ 33 เป็นเวลา 2 ปี 16 เดือน จำคุกนายอมร อมรรัตนานนท์ จำเลยที่ 34 เป็นเวลา 20 เดือน จำคุกนายพิเชษฐ พัฒนโชติ จำเลยที่ 35 เป็นเวลา 1 ปีปรับ 13,333 บาท จำคุกนายกิตติชัย ใสสะอาด จำเลยที่ 37 เป็นเวลา 4 เดือนปรับ 6,666 บาท จำคุกนางทยา ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 38 เป็นเวลา1 ปี 8 เดือน ปรับ 26,666 บาท
รอลงอาญา 12 คน “เจ๊ปอง” รอด
แต่ให้รอลงอาญา นายวิทยา แก้วภราดัย จำเลยที่ 6 นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ จำเลยที่ 9 น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก จำเลยที่ 10 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จำเลยที่ 12 นายถนอม อ่อนเกตุพล จำเลยที่ 14 นายสาธิต เซกัลป์ จำเลยที่ 17 พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี จำเลยที่ 19 พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ จำเลยที่ 20 นายมั่นแม่น กะการดี จำเลยที่ 25 นายพิเชษฐ พัฒนโชติ จำเลยที่ 35 นายกิตติชัย ใสสะอาด จำเลยที่ 37 และนางทยา ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 38 เป็นเวลา 2 ปี
ยกฟ้อง 12 คน “สาทิตย์-แก้วสรร”
นอกจากนี้สั่งยกฟ้องนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย จำเลยที่ 2 นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ จำเลยที่ 13 น.ส.รังสิมา รอดรัศมี จำเลยที่ 18 นายแก้วสรร อติโพธิ จำเลยที่ 21 นายไพบูลย์ นิติตะวัน จำเลยที่ 22 นายถวิล เปลี่ยนศรี จำเลยที่ 23 พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ จำเลยที่ 27 นายพิภพ ธงไชย จำเลยที่ 28 นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด จำเลยที่ 31 พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์ จำเลยที่ 32 นายสมบูรณ์ ทองบุราณ จำเลยที่ 36 และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จำเลยที่ 39
ตัดสิทธิทางการเมือง 7 คน 5 ปี
ตัดสิทธิทางการเมือง นายชุมพล จุลใส จำเลยที่ 3 นายอิสสระ สมชัย จำเลยที่ 5 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 8 นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ จำเลยที่ 16 ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ จำเลยที่ 24 นายสำราญ รอดเพชร จำเลยที่ 33 และนางทยา ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 38 คนละ 5 ปี และให้นับโทษจำเลยที่ 15 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 25 นายมั่นแม่น กะการดี และจำเลยที่ 30 นายสุริยะใส กตะศิลา กับคดีอื่นที่ตัดสินไปก่อนหน้านี้
แกนนำเข้าคุก 8 คนรอประกัน
หลังจากนั้นจำเลยยื่นหลักทรัพย์ของบริษัทประกันอิสรภาพแห่งหนึ่งรายละ 600,000 บาทยื่นประกันตัว ศาลพิเคราะห์คำร้องประกอบหลักทรัพย์แล้ว มีคำสั่งให้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวเฉพาะจำเลยที่ 15 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 26 นายคมสัน ทองศิริ นายสาวิทย์ แก้วหวาน จำเลยที่ 29 นายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยที่ 30 นายสำราญ รอดเพชร จำเลยที่ 33 และนายอมร อมรรัตนานนท์ จำเลยที่ 34 ส่วนจำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จำเลยที่ 3 นายชุมพล จุลใส จำเลยที่ 4 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ จำเลยที่ 5 นายอิสสระ สมชัย จำเลยที่ 7 นายถาวร เสนเนียม จำเลยที่ 8 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 16 นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ และจำเลยที่ 24 ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ศาลอาญาพิจารณาคำร้องประกอบหลักทรัพย์แล้ว ให้ส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาล อุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำสั่ง วันนี้จึงต้องถูกควบคุมตัว ไปขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
“ถาวร” น้อมรับคำตัดสิน
ต่อมาเวลา 18.20 น. นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม กล่าวว่า น้อมรับคำพิพากษาด้วยความเคารพ โดยไม่ขัดขืน แต่จะขอใช้สิทธิ์อุทธรณ์คดี ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรี ถือว่าตนสิ้นสุดโดยทันที วันที่ 25 ก.พ.ช่วงสายๆตนจะเดินทางไปเก็บของออกจากกระทรวงคมนาคม แต่ยังทำหน้าที่นักการเมืองเหมือนเดิมจะปกป้องสิทธิประโยชน์ของประเทศ และประชาชนโดยไม่ลดละ ไม่รู้สึกเสียใจที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ขัดขวางการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และขัดขวางการทุจริตจำนำข้าว ไม่ต่างจากการต่อสู้ของนักต่อสู้ทั่วโลกที่เอาเสรีภาพของตัวเองมาปกป้องส่วนรวม ขอขอบคุณประชาชนพี่น้อง กปปส.ที่ส่งกำลังใจมาให้ตั้งแต่วันที่เริ่มต่อสู้ ณ สถานีรถไฟสามเสน 31 ธ.ค. 2556 จนถึงตอนนี้เวลาผ่านไป 7 ปี มีคนเสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บ 780 กว่าคน สิ่งที่ได้คือขับไล่รัฐบาลทรราช ขอให้ทุกคนสู้ต่อไป ทั้งการปราบปรามการทุจริต ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปการเมือง การกระจายอำนาจ ขอให้ทุกคนทำให้ได้ อย่าลืมว่าประชาชนจับตาอยู่ อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ว่าระบอบทักษิณจะกลับมาอีก ขอเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองมาดูกระจกมาดูตัวเองด้วย
“สุเทพ” ยึดมั่นในอุดมการณ์
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส.โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เรียนพี่น้องร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน วันนี้พวกเราแกนนำ กปปส. ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกคนละหลายปี อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังยึดมั่นในอุดมการณ์ รับใช้ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่เปลี่ยนแปลงครับ” ส่วนนายชุมพล จุลใส หรือลูกหมี ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก โดยนำรูปสมัยชุมนุมร่วมกับนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสกลธี ภัททิยกุล แกนนำ กปปส.มาโพสต์ พร้อมข้อความว่า “ทำดีที่สุดแล้วครับ น้อมรับคำพิพากษา สู้เพื่อแผ่นดินไทย”
อัยการแจงใครหลุดตำแหน่ง
ขณะที่นายธนกฤต วรธนัชชากุล ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด โพสต์เฟซบุ๊กให้ความเห็นข้อกฎหมาย กรณีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกกับการสิ้นสุดสถานภาพความเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติหลักเกณฑ์การสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.และการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีไว้หลายกรณี มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงเรื่องนี้อยู่หลายมาตรา ที่น่าสนใจในที่นี้ คือ บทบัญญัติมาตรา 98 (6) มาตรา 101 (6) และ (13) และมาตรา 160 (6) และ (7)
ส.ส.ยังรอดต้องรอถึงฎีกา
กรณีของ ส.ส. หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ถึงแม้จะพิพากษาให้รอการลงโทษ ก็ถือเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลง เว้นแต่ความผิดที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษ เป็นความผิดที่กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (13) จึงจะถือเอาเหตุที่ศาลรอการลงโทษมาเป็นเหตุยกเว้นไม่ทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงไปได้ รัฐธรรมนูญมาตรา 101 (13) นี้ กำหนดหลักเกณฑ์ของคำพิพากษาของศาลที่จะเป็นเหตุให้สมาชิก-ภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงไว้ว่า จะต้องเป็นคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกที่ถึงที่สุดเท่านั้น ดังนั้นหากยังอยู่ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลตามกฎหมาย คำพิพากษาของศาลย่อมยังไม่ถึงที่สุด และยังไม่ถือเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลง
รัฐมนตรีหลุดตั้งแต่มีคำพิพากษา
ส่วนกรณีของรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญมาตรา160 (7) บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก โดยไม่คำนึงว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่ หรือ คำพิพากษาที่ให้ลงโทษจำคุกนั้นจะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ความผิดที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษนั้นเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดฐานหมิ่นประมาท ดังนั้นหากรัฐมนตรีต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุก ถึงแม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุด ยังอยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ฎีกาตามกฎหมาย ถือเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 (7)แล้ว
ไม่รอดทั้ง รมต.-ส.ส.ถ้าเข้าคุก
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ทำให้สถานภาพความเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีสิ้นสุดลงอีกกรณีคือ หลังจากศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแล้ว หากจำเลยที่เป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรี ยื่นคำร้องขอประกันตัวหรือขอปล่อยชั่วคราว ก่อนที่ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาของศาล แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากศาลทันที ทำให้ต้องถูกคุมขังชั่วคราวตามหมายศาลระหว่างรอคำสั่งศาลว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวหรือไม่ กรณีดังกล่าวนี้ถือเป็นเหตุให้สถานภาพความเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) ประกอบมาตรา 101 (6) และมาตรา 160 (6) ด้วยเหตุจากการต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาลเช่นกัน
“วิษณุ” ย้ำรัฐมนตรีไม่รอดแน่
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯให้สัมภาษณ์หลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส และนายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม จากคดีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ว่า เมื่อศาลมีคำตัดสินจำคุกผู้เป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) จะหลุดจากตำแหน่งทันที ตั้งแต่มีคำพิพากษา ส่วน ส.ส.ถ้าศาลไม่ได้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองก็ไม่เป็นไร