เปิดศักราช 2564 ปีวัวชนตะลุยไวรัส สถานการณ์บ้านเมืองยังน่าห่วง โควิดประชิดเมือง ฝุ่นพิษประชิดบ้าน น่าห่วงใยสุขภาพ รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่จากภาวะเศรษฐกิจเงียบเหงาซึมยาว

ฉลองปีใหม่กันอย่างเหงาๆ สนุกไม่เต็มที่ เพราะโควิดรีเทิร์น หลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 เจองานกร่อยไปหนหนึ่งแล้วจากสภาวะล็อกดาวน์ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้ทุกอย่างจะคลี่คลาย มีวัคซีนป้องกัน รักษา ทำลายล้างโควิดให้สิ้นซากจากโลกใบนี้

ส่วนสถานการณ์การเมืองยังส่อเค้าดุเดือด รุนแรง “รัฐนาวาลุงตู่” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นกัปตันเรือเหล็กโยกพังงา ต้องฝ่ามรสุมอีกหลายลูก หนักหนาสาหัสกว่าเก่าแน่

หลังจากอยู่ยาวมาตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 หมดเวลาฮันนีมูนมานานเกินไปแล้ว รับประกันซ่อมฟรีตั้งแต่ต้นปี หากสถานการณ์โควิด คลี่คลายเมื่อไหร่ “ม็อบราษฎร” ออกมาทวงสัญญาหน้าฝนแน่

อุ่นเตาเผาหัวก่อนคิวซักฟอก เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ “ฝ่ายค้าน” จองกฐินล็อกคิวไว้ประมาณกลางเดือน ก.พ. ถือเป็นสีสันไฮไลต์ของคอการเมืองสายฮาร์ดคอร์ เพราะมักจะมีวลีเด็ด วรรคทอง เชือดเฉือนกันสะใจ

เหมือนดังที่ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” รวบรวม “วาทะร้อน” ในช่วงปี 2563 นำมาเสิร์ฟเป็นออเดิร์ฟ ทบทวนความมัน เพื่อตรวจสอบจังหวะการเดินที่ผ่านมา และก้าวถัดไป.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

...

ท้าทายไร้เกียร์ถอย

พ.ศ.ที่ผ่านมาแม้จับอาการของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ชัดเจนว่า ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น หนักแน่นกว่าเก่าก่อน แต่กระนั้นก็ยังมี วรรคทอง วลีเด็ดเผ็ดดุ เช่นเคย

วาทะร้อนแห่งปีต้องยกให้ “ผมผิดอะไร” ระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวส่งสัญญาณผ่านไปถึงเด็กๆม็อบราษฎร ที่ออกมาชุมนุมกดดันให้ลาออก ยักไหล่พูดเน้นๆ “ไม่ออกอะ” แถมลงรายละเอียดเผื่อใครยังข้องใจกระแสข่าวรัฐประหารหรือรัฐบาลแห่งชาติ “พูดซ้ำซาก พูดอยู่นั่น ผมยังไม่คิด ส่วนรัฐบาลแห่งชาตินั้นไปอีกไกล”

แต่ประโยคร้อนที่โหมไฟใส่เยาวชนสุดๆ “อย่าประมาทกับชีวิต เพราะคนเราสามารถตายได้ทุกเวลา ขออย่าท้าทายกับพญามัจจุราช” สั่งสอนพร้อมส่งโนติสฝากผู้ปกครองช่วยดูแล “เราไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องการอะไร ระมัดระวังด้วยแล้วกัน อย่าหาว่าผมขู่” วีรกรรมกับม็อบราษฎรวลีเด็ดมีเยอะเป็นหางว่าว เมื่อครั้งลงพื้นที่โคราช เจอคนชู 3 นิ้วให้ “บิ๊กตู่” ของขึ้นตวาดใส่ไมโครโฟน “ลูกหลานมันอยู่ยังไงไอ้คนชูเนี่ย ลูกหลานมันอยู่ไม่ได้ วันหน้าก็โทษพ่อมันนั่นแหละ” อึ้งกิมกี่ไปเลย

ส่วนลีลาในสภาในฐานะการเมืองเต็มขั้น “บิ๊กตู่” ก็อัปเลเวลขึ้นมาจนน่ากลัว ประเด็นตอบโต้ย้อนศรไม่เคยลดราวาศอกให้ใคร เมื่อคราวอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตอกกลับ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่จ้ำจี้จ้ำไชให้นายกฯยอมรับความอ่อนด้อยเรื่องเศรษฐกิจ “แม้ไม่เก่งเศรษฐกิจ แต่มีที่ปรึกษาปริญญาเป็นหางว่าว”

และไม่ว่าเวทีไหนเวทีนั้นนายกฯมักโดนขยี้ปมรัฐประหาร อำนาจเผด็จการให้เดือดร้อนรำคาญ “บิ๊กตู่” เลยฟาดหางกลับสะบัดมีดโกนใส่ “พูดแต่เรื่องรัฐประหาร แต่ไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภา” แถมเบิ้ลบลัฟเรื่องโกงๆ “การทุจริตที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ถ้าลืมก็กรุณาไปทบทวนใหม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2557 บางทีหลายท่านก็ความจำสั้นไปนิด” ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ยอมลงให้เช่นเคย ช่วงที่ “กลุ่มกบฏ” พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ถอนตัวจากรัฐบาล ด้วยวลีแสบๆ เลิกพายเรือให้โจรนั่ง “บิ๊กตู่” ก็ยักไหล่สวนกลับ “ก็ถอนไปสิ แต่ก็ยังไม่ถอนนี่”

ทุกย่างก้าวคือการท้าทายเคลื่อนไปข้างหน้า คำว่าถอยหลัง อ่อนข้อ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมท่านผู้นำ.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

สวดตำรา-ท่องวิชาเฉือน

ยืนยงคงกระพัน “ดร.วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ กับบทบาท “เนติบริกร” ผ่านหลายยุคสมัยรัฐบาล “เนติบริกร” บริการด้านข้อกฎหมายด้วยประสิทธิภาพข้นคลั่ก จากยุค คสช. มาถึงรัฐบาลลุงๆหลังเลือกตั้ง ในขวบปีที่ผ่านมา อาจจะไม่มีวาทะจี๊ดจ๊าด ยกวลีสุภาษิต คำโบราณเก๋าๆมาบ่อยนัก แต่ลีลาพญาเซียนยังเหมือนเดิม

ล้อสถานการณ์บ้านเมืองร้อนฉ่า ต้องคอยวิสัชนา ไล่ตั้งแต่คิวม็อบเด็ก ช่วงรัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษคุมเข้ม อ๋องกฎหมายแจงเป็นฉากๆ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งฉุกเฉินธรรมดา-ฉุกเฉินร้ายแรง รวมทั้งข้อเสนอยาแรงเคอร์ฟิวอัปเปหิม็อบ “การเนรเทศคนไทยทำไม่ได้ ขัดรัฐธรรมนูญ” ขณะที่ท่าทีต่อกระแสแก้รัฐธรรมนูญ “ถามใจรัฐบาลมีธงอยู่แล้วอยากแก้อะไร” ไม่วายอธิบายกระบวนการขั้นตอนประชามติ คุ้มงบฯหรือไม่ “ไม่ได้บ่น หรือบอกเสียดาย แต่ประชามติมีข้อยุ่งยากคือยังไม่มีกฎหมาย” อีกทั้ง “อาจไม่ใช่หนเดียว ต้องใช้เงินเยอะ”

ในข้อถกเถียงต้องส่งร่างแก้ รธน.ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไข รธน.ก่อนทำประชามติ ถ้าสงสัยก็ส่ง “ดีกว่าหมดเงินประชามติ 3 พันล้านแล้วโมฆะ” แต่ส่วนตัว “ผมไม่เห็นว่าขัด” ส่วนสูตรผ่าทางตัน “ศึกความคิด” ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ มือกฎหมายบอก ที่จะเรียก 2 ฝ่ายมา ก็ไม่รู้ใครคืออีกฝ่าย “มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่” ส่วนที่มีพระ-เณรไปร่วมวงชูสามนิ้ว ไม่ผิดพระธรรมวินัย “แต่อาจเป็นโลกวัชชะ ชาวบ้านติเตียน จึงไม่ควรจะทำ”

รวมทั้งเสียงเข้มสวนม็อบเด็ก “ที่ให้ยุบสภา สภาทำผิดอะไร” แล้วถ้านายกฯลาออก “ถามว่าจะหานายกฯใหม่จากไหน” รวมทั้งที่ส่งเสียงเย้วๆปมสถาบัน “ทุกวันนี้สถาบันอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว” ไม่ทราบหมายถึงอะไร “มิบังควรหรือไม่ ทุกคนก็รู้”

รู้หลักการ อ่านเกมออก และเล่นเป็น จึงโดดเด่นบท “เนติบริกรข้ามทศวรรษ”.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

ชูแนวประชาธิปไตย

วอร์มอัปเขย่าขั้วอำนาจ กรีดนิ้วทวีตข้อความ “ให้ชวนเพื่อนร่วมอีเวนต์วิ่งไล่ลุง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม บรรลุเป้าสะเก็ดไฟลามไปหลายจังหวัด แม้มีมวลชนฝ่ายตรงข้ามจัดอีเวนต์ “เดินเชียร์ลุง”

แต่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไอดอลคนรุ่นใหม่ ใช้สื่อออนไลน์ สร้างปฏิสัมพันธ์ถ่ายทอดอุดมการณ์ถึงสมาชิกพรรค นำ “ออเรนจ์ แมชชีน” วาดลวดลายบนเวทีการเมืองได้เพียง 1 ปี 4 เดือน 18 วัน

ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติปิดฉากพรรคอนาคตใหม่ ในคดี “ธนาธรปล่อยเงินกู้พรรค” ตัดฉับสิทธิทางการเมือง 10 ปี โลกโซเชียลมีเดียร้อนระอุ “ทวิตเตอร์#Saveอนาคตใหม่” กลายเป็นเทรนด์อันดับหนึ่ง ยอดทวีตรัวๆกว่าล้านครั้งในหนึ่งวัน “เสี่ยเอก” ได้จังหวะปลุกพลังมวลชน “คุณยุบพรรคได้ แต่คุณยุบคนไม่ได้”

ปมนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายแฟลชม็อบจุดติด กลับถูกถล่มเละตั้งแท่น “ล้มสถาบัน” อยู่เบื้องหลัง “ม็อบราษฎร” แต่ปฏิเสธหนักแน่น “มีจุดยืนรักษาสถาบัน ต้องการปฏิรูปให้อยู่คู่สังคมไทย” และ“ไม่ได้ชักใยอยู่เบื้องหลังม็อบ”

แล้วปรับยุทธศาสตร์แยกกันเดินร่วมกันตี ตั้งกลุ่มการเมืองคณะก้าวหน้า “เสี่ยเอก” รับเป็นแม่ทัพใหญ่ “ต่อสู้กับความอยุติธรรม” เล่นบทนอกสภาฯ พรรคก้าวไกล “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค คุมเกมในสภาฯ

ถึงเวลาแหย่รถถังวันครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร ติดอาวุธทางความคิดให้มวลชน “ถึงเวลาสถาปนาอำนาจประชาชน ทำให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพให้ได้”

การเคลื่อนไหวไล่ “ลุงตู่-แก้รัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร.-ปฏิรูปสถาบัน-ร่วมชุมนุมม็อบราษฎร” เขามั่นใจเดินมาถูกทาง หากเกิดรัฐประหาร “รับรองประเทศพัง ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ จะไม่ยอมให้รัฐประหารจบเหมือนเดิม”

โหมโรงพร้อมตะลุยต่อสมรภูมิโซเชียลมีเดีย บนท้องถนน รั้วสถานศึกษา การเมืองทุกระดับ.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

ทวงอำนาจคืนราษฎร

แฟลชม็อบจุดติดพรึบหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ คลื่นกระแสไหลบ่าทะลุรั้วสถานศึกษาต่างๆ สะดุดลงยามไวรัสโควิด-19 เข้ามาแทรก ก่อนแปรรูปขบวนเป็นกลุ่มประชาชน-เยาวชนปลดแอก

แล้วลงตัวที่ “กลุ่มราษฎร” โดยมีสัญลักษณ์ชูสามนิ้วเป็นอาวุธลับ ก่อหวอดเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ในรอบ 6 ปี หลัง คสช.ยึดอำนาจ เมื่อ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หนึ่งในแกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล้าทะลุกลางปล้องประกาศบนเวทีม็อบ ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

โดยจุดชนวนที่ก้าวหน้าแหลมคม ทำลายเพดานทะลุฟ้า อ่านแถลงการณ์ “10 ข้อปฏิรูปสถาบัน” เล่นเอา “ฝ่ายภูมิปัญญาที่ดำรงอยู่” ผงะ ก่อนตั้งหลักขับเคี่ยวทางความคิดสู้กับ “ฝ่ายภูมิปัญญาใหม่” ที่มองว่า “ตอนนี้ไม่มีเพดานแล้ว”

กลับถูกทิ้งบอมบ์อีกลูกในงาน “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” ชนิดบิ๊กเซอร์ไพรส์เบิ้มๆ โดยปัก “หมุดคณะราษฎร 2563” กลางท้องสนามหลวง นำมวลชนตะโกน “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

คดีเดิมจ่อคอหอยยังไม่ทันจางหาย คดีความใหม่ตามมาเป็นหางว่าว วิ่งรับทราบข้อหา รายงานตัว ถูกคุมตัว เข้าคุก จนเมื่อยล้า เข้าโรงพยาบาลนอนซมหยอดข้าวต้ม แต่ใส่เกียร์ถอยไม่เป็น

ภูมิใจย้ำข้อเรียกร้องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ “ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยตั้ง ส.ส.ร.-ปฏิรูปสถาบัน”

รัฐบาลขึงขังประกาศใช้กฎหมายเต็มสตีม กลับถูกแกนนำม็อบราษฎรอย่าง “รุ้ง” ปนัสยา และพวกพ้อง ทั้ง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ “ทนายอานนท์” อานนท์ นำภา ตีโต้กลับ “ยืนยันไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหว ต้องดำเนินการต่อเพื่อบรรลุ 3 ข้อที่วางไว้”

ชิงจังหวะหยุดพักก่อนโควิดระบาดรอบใหม่ ออมพลังเคลื่อนไหวเบิ้มๆปี 2564 เพื่อให้บรรลุเป้า 3 ข้อ เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

มีดโกนกรีดสยอง

อดีตนายกฯ 2 สมัยในวัย 82 ปี “ชวน หลีกภัย” กับบทบาทประธานสภาผู้แทนราษฎร ลีลาสะบัดมีดโกนอาบน้ำผึ้งยังเข้มขลังคมกริบ เอ่ยปากฝากโนติสถึงใคร ไม่ว่ารายไหนรายนั้นถึงขั้นเลือดซิบ เจ็บแสบไปนาน ได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่ายให้เป็นหัวหอกแสวงหาความปรองดอง แต่หนทางยังขรุขระทุลักทุเล

เรื่องตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ที่นายชวนเป็นแม่งาน ถูกตัวจี๊ดอย่าง “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ปรามาสบุคคลที่เตรียมเชิญมา ล้าสมัย เก่าแก่ น่าเอาไปดองเค็มมากกว่า เลยสวนกลับนิ่มๆแต่รุนแรงด้วยเนื้อหา “ถึงขั้นเปรียบเทียบว่าดองเค็มได้นั้น ต้องระวังคนพูดจะไปดองในฟอร์มาลิน ต้องระวังร่างกายด้วย”

คณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่าที่เคยตั้งขึ้นมาค้นหาความปรองดอง สุดท้ายก็แป้ก ผลการศึกษาเก็บเข้าลิ้นชักไม่ได้นำมาใช้ ผ่านหูผ่านตา “ประธานชวน” มาเยอะ เลยฝากความเห็นไว้ดังๆ “กรรมการหลายชุดที่ผ่านมาทำงานดี แต่ไม่มีผล เพราะเชี่ยวชาญด้านทฤษฎี ทำให้ต้องเอานักปฏิบัติมาร่วมด้วย”

ส่วนท่าทีพรรคร่วมฝ่ายค้านยังลังเลจะร่วมหรือไม่ร่วม เพราะมองว่าโดนกดขี่สัดส่วนกรรมการ “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เดิมฝ่ายค้านก็แสดงความจำนงไม่เข้าร่วมตั้งแต่แรกแล้ว” ยึดหลักการไม่แยแส “ไม่ว่าคณะกรรมการจะมีเท่าไร ก็จะเดินหน้าต่อ”

ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมหลักการตัวจริงเสียงจริง นายชวนจึงมักถูกขอความเห็นเรื่องใหญ่ๆ อาทิ กฎหมายรัฐธรรมนูญ คำตอบที่ได้ตีแสกหน้าเข้าประเด็น ไม่สนว่าเป็นแนวร่วม หรือแนวต้าน “รัฐธรรมนูญ 2560 ทำประชาธิปไตยถอยหลังไปไกล” เพราะเปิดทาง ส.ว.แต่งตั้ง และผู้นำเหล่าทัพเข้าสภามาเป็น ส.ว.

ฉายา “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ถึงวันนี้ก็ยังคมกริบน่าเกรงขามเหมือนเดิม.

วาทะร้อนสะท้อนสถานการณ์วิกฤติเมืองไทย ศึกแนวคิด "เขย่า" โครงสร้างประเทศ

กร้าวกำราบเจนฯเกรียน

สปอตไลต์ฉายส่องตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็น “จ่าฝูงกองทัพบก” สำหรับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.คนที่ 42 เมื่อเข้ามารับภารกิจหน้าที่ท่ามกลางบรรยากาศบ้านเมืองที่แหลมคม จากการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชน “กลุ่มราษฎร” ไม่เพียงเคลื่อนไหวไล่รัฐบาล แต่ยังส่งเสียงดังหลายเดซิเบลพุ่งทะลุทะลวงชั้นฟ้า

เป็นภารกิจของบิ๊กทหารที่เติบโตบน “เส้นทางเหล็ก” เจ้าของรหัส “คอแดง 60” พ่วงตำแหน่งรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 บนวิถีทาง “ฟ้าลิขิต” พล.อ.ณรงค์พันธ์ ถูกมองเป็น “ผู้ถือดุล” ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ ในห้วงเกิดสถานการณ์ “แตกแยกทางความคิด” จนเริ่มเห็นเค้าลางวิกฤติ

ช่วงม็อบเด็กเขย่าอำนาจรัฐหนัก “บิ๊กบี้” ถูกซักหลายครั้งถึงคิว แอ่น-แอ๊น “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” คำตอบเนิบตามตำรา “ทหารต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ไม่ยุ่งการเมือง”-“การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” แจงถี่ๆ “โอกาสไม่มี การทำเรื่องนี้เป็นศูนย์” อยากให้ขจัดเงื่อนไขนี้ “ต้องติดลบ เพราะศูนย์ก็ไม่พอ” ลับลวงพรางรึเปล่า?

แต่โหมดเคลียร์ชัดตอบเป๊ะคือไอเดีย “ปฏิรูปสถาบัน” พล.อ.ณรงค์พันธ์ เลกเชอร์ตบเกรียนนิวเจนฯ “เสรีภาพต้องไม่ก้าวล่วงคนอื่น” จูงเข้าสู่คาบวิชาธรรมะ ให้ถือกระจกหกด้าน “ควรกลับไปปฏิรูปตัวเอง ก่อนไปบอกคนอื่นทำแบบนั้นแบบนี้” แล้วคำรามลั่น ร้อนปรอทพุ่ง บอกคนไทย 60 ล้านอยู่ดีมีสุข “แต่ไอ้คนกลุ่มหนึ่งที่สร้างความไม่สงบขึ้นมา” ก่อนโดดฟาดหลังเท้า สวนแนวคิด “สาธารณรัฐ” ที่ถูกจุดพลุ “เรื่องนี้ไม่มีในหัว ผมไม่รู้จักคำนี้”

แน่นอนถึงวันนี้ในเสาหลักสำคัญของบ้านเมืองถูกเขย่าหนักหน่วง บิ๊กทหารอาชีพจะย้ำกับกำลังพลเสมอถึงความสำคัญและความภูมิใจในหน้าที่เทิดทูนสถาบัน “เพราะทหารกับสถาบัน อยู่คู่กันมาตั้งแต่ตั้งประเทศนี้”

เป็นลีลาท่าบังคับในแบบฉบับ “ผู้ถือดุลแห่ง ทบ.” เบรกแรงเขย่าโครงสร้างประเทศ!!

“ทีมการเมือง”