คณะราษฎรซัดรัฐบาล-กองทัพเป็นปฏิปักษ์ประชาชน ปรับแผนแก้ลำผุดม็อบดาวกระจายทั้งกรุง คู่ขนานม็อบ ตจว.พรึบทั่วประเทศ เลิกชุมนุม 2 ทุ่ม ลั่นทุกคนคือแกนนำ 4 จุดหลักห้าแยกลาดพร้าว-อุดมสุข-วงเวียนใหญ่-ม.รามฯ มวลชนหลั่งไหลชุมนุมคึกคัก ห้าแยกลาดพร้าวการ์ดอาสาพร้อมมาก จัดเต็มชุดป้องกันแก๊สน้ำตา แจกหมวกและร่มแนวร่วมตั้งแถวสกัด จนท.บุกสลาย ก่อนยุติ 19.10 น. นักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นพร้อมใจตะโกนกึกก้องไล่ “ประยุทธ์” จี้ปล่อยแกนนำ “ไมค์ ระยอง”โผล่หน้า ม.รามฯ มวลชนแน่น ตร.ยังไม่กล้ารวบ หลายฝ่ายรุมประณาม รบ.สลายม็อบรุนแรง จี้เลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงฯ สภา นศ.-องค์การนิสิตฉะยับไร้มนุษยธรรม แอมเนสตี้จวกฉีดน้ำใส่สารสีฟ้าเกินเหตุ สื่อนอกห่วงไทยเสี่ยงรัฐประหาร “ยิ่งลักษณ์” ย้อนอดีตจี้ “บิ๊กตู่” รับฟังข้อเรียกร้องเยาวชน
หลังจากการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 ที่แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุม โดยใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีสีฟ้า จนแนวร่วมแตกกระเจิง ต้องยุติการชุมนุม กลุ่มคณะราษฎรได้ปรับแผนนัดชุมนุมอีกครั้ง เป็นการชุมนุมแบบดาวกระจาย 4 จุดใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ
ม็อบฉะ รบ.–กองทัพปฏิปักษ์ ปชช.
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 17 ต.ค. กลุ่มคณะราษฎร ได้ออกแถลงการณ์ใจความว่า จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค. เรารับรู้ได้ว่ารัฐบาลและกองทัพ ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนอย่างสมบูรณ์ ขอประณามทุกการกระทำที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน และขอประณามทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ขอประกาศว่าเรายังยืนยันที่จะจัดการชุมนุมต่อไปในวันที่ 17 ต.ค. รัฐบาลจะจับกุมแกนนำไปจนหมด แต่ช่วงสองวันนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแกนนำที่แท้จริงคือ “ประชาชนทุกคน”
...
จากนี้มีแต่ราษฎรทุกคนคือแกนนำ
แถลงการณ์คณะราษฎร ระบุอีกว่า ประชาชนไม่อาจทนต่อการกดขี่ได้ฉันใด ชนชั้นนำก็ไม่อาจฝืนสายธารแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ฉันนั้น หากรัฐยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง พึงรู้ไว้เถิดว่าเราเองก็ไม่สามารถละทิ้งอุดมการณ์ได้เช่นกัน จากนี้จะไม่มีคณะราษฎร จะมีเพียงแต่ “ราษฎร”เท่านั้น ขอย้ำในจุดยืนว่าทุกคนคือแกนนำ และขอเชิญชวนให้ทุกท่านที่พร้อม ออกมารวมตัวกันอีกครั้งในเวลา 16.00 น.ขอให้ติดตามรายละเอียดสถานที่อย่างใกล้ชิด เตรียมกายและใจให้พร้อม และรับมือกับการสลายการชุมนุมที่อาจเกิดขึ้น
ดาวกระจาย 4 จุดใหญ่ทั่วกรุง
เวลา 11.00 น. เฟซบุ๊กเพจ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กระบอกเสียงม็อบคณะราษฎร ได้โพสต์ข้อความแจ้งให้ออกไปประจำการ ตามสถานีรถไฟฟ้าในเวลา 15.00 น.เพื่อรอกำหนดนัดหมายจะให้ไปรวมตัวที่ใด ส่งผลทำให้ทางรถไฟฟ้า MRT ยุติการให้บริการทันที ในเวลาไล่เลี่ยกันทางแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จึงได้ออกประกาศอีกครั้งว่า หากมีการหยุดเดินรถไฟฟ้า ก่อนเริ่มเวลานัดหมายให้ใช้สถานีรถไฟฟ้าแต่ละแห่งเป็นที่ชุมนุม ให้เตรียมอุปกรณ์ไมค์ เครื่องเสียง โทรโข่งมาเอง เพราะทุกคนคือแกนนำ โดยได้แจ้งให้มวลชนแยกชุมนุมใน 4 จุดที่สถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าว สถานีอุดมสุข สถานีวงเวียนใหญ่และที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
รถไฟฟ้าหยุดวิ่งทั้งระบบ
เมื่อเวลา 14.55 น. นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กก.ผอ.ใหญ่ บริษัท BTSC แจ้งว่าตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และคำสั่งของกรุงเทพมหานคร ฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส บริษัทจึงขอปิดให้บริการชั่วคราวทุกสถานี ทั้งในสายสุขุมวิทและสายสีลมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศการเปลี่ยนแปลง ส่วนบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีแจ้งว่า บริษัทปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกสถานีชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยโดยรวมของผู้โดยสาร และจะรีบเปิดให้บริการทันทีเมื่อกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรล ลิงก์ แจ้งปิดให้บริการทุกสถานีชั่วคราวตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป จะมีขบวนรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายให้บริการจากสถานีสุวรรณภูมิถึงสถานีราชปรารภออกจากสถานีสุวรรณภูมิเวลา 16.00 น. และจากสถานีราชปรารภถึงสถานีสุวรรณภูมิออกจากสถานีราชปรารภ เวลา 16.00 น.
มวลชนพรึบห้าแยกลาดพร้าว
กระทั่งเวลา 15.50 น. มวลชนคณะราษฎรเคลื่อนขบวนมาทั้งจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว สถานี BTS หมอชิต บางส่วนเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และยังคงหลั่งไหลมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนต้องปิดการจราจรทุกเส้นทางที่จะเข้าสู่ห้าแยกลาดพร้าว กลุ่มนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น คนหนุ่มสาวร่วมกันชู 3 นิ้ว พร้อมตะโกนด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จน 16.40 น. จึงยึดใจกลางห้าแยกลาดพร้าวสำเร็จเริ่มมีฝนตกปรอยลงมา แกนนำหน้าใหม่ใช้เพียงโทรโข่งประกาศขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ยังกระจัด กระจายไปรวมกันที่ฝั่งมุ่งหน้าถนนพหลโยธิน หัวแถวอยู่ใต้สะพานลอยข้ามห้าแยกลาดพร้าว
การ์ดตั้งแบริเออร์สกัด ตร.สลาย
ขณะที่มวลชนการ์ดอาสาหนุ่มสาวนับร้อยคน พร้อมอุปกรณ์ครบครัน ทั้งหน้ากากและแว่น ตั้งแนวรับบนถนนพหลโยธินฝั่งขาออก จัดตั้งแนวแบริเออร์สกัดกั้นเจ้าหน้าที่เข้ามาสลายการชุมนุม ส่วนพื้นที่โดยรอบตั้งจุดปราศรัยด้วยเครื่องโทรโข่ง เป็นเวทีย่อยๆหลายจุด แต่สื่อสารกับมวลชนได้ไม่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง แต่มวลชนก็จับกลุ่มพูดคุย ชู 3 นิ้ว สลับกับตะโกนว่า “ปล่อยเพื่อนเรา” “ประยุทธ์ออกไป” จากนั้น 18.00 น. การ์ดอาสาขยายแนวรับสลายชุมนุมขึ้นมาด่านที่ 2 บนถนนพหลโยธินขาออกถึงใต้สะพานลอยหน้าธนาคารทหารไทย ประชุมทีมการ์ดหนุ่มสาวตะโกนพร้อมกันว่า “เราจะไม่ใช้กำลัง” ทั้งเริ่มแจ้งมวลชนกำลังหลั่งไหลมาทางฝั่งถนนพหลโยธินให้เข้าไปอยู่หลังแนวรับ โดยทีมการ์ดสวมหมวกกันน็อก หน้ากากและแว่นตา สกัดแก๊สน้ำตาเต็มที่ ช่วงหนึ่งมวลชนพากันตะโกนเตือนว่ารถน้ำ 5 คันกำลังมา กระทั่ง 18.30 น. ตรงจุดใหญ่ใต้สะพานลอยข้ามแยก ไปจนถึงหน้าศูนย์การค้ายูเนี่ยนมอลล์ มีการประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมเข้าแถวรับมือการสลายชุมนุม มวลชนหลายพันคนต่างให้ความร่วมมือตั้งแถวซ้อนกันเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบแล้วแจกจ่ายร่ม น้ำดื่ม หมวก แว่นกันน้ำให้มวลชน
แกนนำยุติให้รอฟังนัดหมายใหม่
จากนั้นเวลา 19.10 น. แกนนำม็อบคณะราษฎร ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณห้าแยกลาดพร้าว และถนนพหลโยธินฝั่งขาออก ได้ประกาศแจ้งว่าขอให้ยุติการชุมนุมก่อนเวลา เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าสลายการชุมนุม จะไม่ยอมให้ผู้ร่วมชุมนุมอยู่ในอันตราย และวันจันทร์เปิดเรียน เปิดทำงาน ให้รอสัญญาณว่าจะทำอะไรต่อไป ขอให้ทุกคนเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และจะมีการนัดหมายใหม่อีกครั้งในวันที่ 18 ต.ค. เวลา 17.00 น. จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง จากนั้นมวลชนทั้งหมด พร้อมใจกันตะโกนคำว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” และชู 3 นิ้ว ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ โดยพื้นที่ชุมนุมมวลชนได้ช่วยกันเก็บขยะ เคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย
“ไมค์ ระยอง” โผล่ลานพ่อขุน
เมื่อเวลา 15.30 น. ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวนัดกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันร่วมขับไล่นายกฯ เวลา 16.00 น. (ทุกคนคือ แกนนำ#ราษฎร) บริเวณลานพ่อขุน ม.รามคำแหง เมื่อถึงเวลามีผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ม.รามคำแหง ทยอยสมทบชุมนุมราว 500 คน มีแกนนำสลับกันปราศรัยโจมตีรัฐบาล เชื่อว่าตัวเองน่าจะถูกจับ ยืนยันข้อเรียกร้อง 3 ข้อเหมือนเดิม พ.ต.อ.เลิศศักดิ์ เขียมทรัพย์ ผกก.สน.หัวหมาก นำสายตรวจและสายสืบนอกเครื่องแบบส่วนหนึ่งมาดูแล ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าไมค์ปรากฏตัวจะเข้าจับกุมหรือไม่ ผกก.ตอบว่าต้องดูสถานการณ์ ถ้ามีผู้ชุมนุมจำนวนมาก คงทำอะไรไม่ได้ อาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
รู้แกว ตร.ดักจับเลิกพาม็อบเคลื่อน
ต่อมาเวลา 18.15 น. “ไมค์ ระยอง” พาผู้ชุมนุมที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 คน จากลานพ่อขุนมาที่ลานหน้าสำนักงานอธิการบดี ม.รามคำแหง ที่สว่างมากกว่า เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่ยอมเปิดไฟฟ้าให้ จากนั้นไมค์ได้พูดย้ำถึงการสลายการชุมนุม ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนแค่มาเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อมาเวลา 18.45 น.ไมค์ตัดสินใจจะพามวลชนเดินตะโกนด่านายกฯ ไปที่แยกคลองตันเพื่อเจอกับมวลชนจากสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข เพื่อจะไปสมทบม็อบห้าแยกลาดพร้าว ถึงช่วงเวลา 19.40น. เดินเท้าถึงสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ รามคำแหง ได้ข่าวว่ามีตำรวจมาดักรออยู่ที่แยกคลองตัน จึงหยุดเดินพร้อมประณามการสลายการชุมนุมอย่างโหดร้ายที่สุด และยังเรียกร้องให้อธิการบดี ม.รามคำแหง เลิกเป็นสลิ่ม มายืนข้างประชาชน แล้วจึงสลายการชุมนุม
ไม่รอด ตร.ล็อก “ไมค์ ระยอง” แล้ว
มีรายงานเมื่อเวลา 20.30 น. ภายหลังไมค์เปลี่ยนเสื้อผ้าพรางตัวขึ้นรถเก๋งมาสด้า 3 สีขาว ทะเบียน 1 กญ 6902 กรุงเทพมหาคร มีพวกพาหลบหนีขับรถมาตามถนนรามคำแหงขาออก พอถึงปากซอยรามคำแหง 53 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.ต้องเจอรถติดอย่างหนัก ขณะนั่งในรถมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามที่แอบแฝงขี่รถ จยย.ติดตามเกือบ 10 คนมาเรียกลงจากรถ ก่อนแสดงหมายจับ และอ่านหมายจับให้ฟัง ข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แล้วควบคุมตัวไปบันทึกการจับกุมที่ สน.หัวหมาก ก่อนพาตัวไปที่ ตชด.อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมีมวลชนส่วนหนึ่งที่ติดตามมา ร้องตะโกนให้ปล่อยเพื่อนเราตลอดเวลา
ตะโกนลั่น “ขี้ข้าเผด็จการ”
ที่สถานีบีทีเอสอโศก มีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันชูสามนิ้ว พร้อมกระดาษเขียนข้อความต่างๆ ร่วมกันตะโกน “ไม่เอาเผด็จการ” จากนั้นได้มีการนัดหมายให้แนวร่วมกระจายเดินทางไปรวมตัวกันตามจุดที่กำหนดคือ สถานีอุดมสุข ห้าแยกลาดพร้าวและวงเวียนใหญ่ ซึ่งหลังเจ้าหน้าที่บีทีเอสประกาศปิดสถานี ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจโห่ร้องตะโกนว่า “ขี้ข้าเผด็จการ” ทำให้เดินทางไปตามจุดนัดหมายลำบาก
มวลชนไหลรวมแยกบางนา
ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอุดมสุข เยาวชน นักเรียน นักศึกษา สวมเสื้อดำทยอยรวมตัวตั้งแต่เวลา 13.00 น. และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมวลชน ที่สถานีบีทีเอสอโศกและใกล้เคียงเข้ามาสมทบจนเต็มฟุตปาทสองฝั่งถนนสุขุมวิทใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เกาะกลางถนนจนไหลลงเต็มถนนสุขุมวิททั้งสองฝั่งถนน ต่อมา 15.30 น. กลุ่มนักศึกษาแกนนำปราศรัยได้พามวลชนทั้งหมดเคลื่อนมาปิดสามแยกอุดมสุข ปราศรัยโจมตีรัฐบาล เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำคณะราษฎรทั้งหมดโดยเร็ว มีนักศึกษาหญิงรายหนึ่งนำสีน้ำเงินมาราดตัวประท้วงตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีสีฟ้ามาฉีดสลาย แกนนำได้แจ้งห้ามผู้ร่วมชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเด็ดขาด ต่อมาเวลา 16.30 น. ทั้งหมดได้ย้ายการชุมนุมจากแยกอุดมสุขมาชุมนุมที่บริเวณสี่แยกบางนา ช่วงแยกบางนาขาออก-ปากซอยสุขุมวิท 103/2 จนถึงเวลา 18.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศยุติชุมนุมก่อนกำหนด 20.00 น.หลังได้รับรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อคฝ.มารวมพลอยู่ในศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติกรุงเทพ หรือ ไบเทค จำนวนมาก แต่ยังมีกลุ่มชายวัยรุ่นและการ์ดอาสาตรึงกำลังแยกบางนาป้องกันไม่ให้ ตร.มายึดพื้นที่คืน ก่อนส่งผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย
วงเวียนใหญ่คึกไม่เอา รปห.
ส่วนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสวงเวียนใหญ่ แนวร่วมทยอยรวมตัวกันที่แยกตากสิน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษา ไม่มีแกนนำ ไม่มีเวทีปราศรัย มีเพียงพร้อมใจกันชูสามนิ้ว เมื่อมีคนใดตะโกนโจมตีรัฐบาล มวลชนก็ขานรับตามเป็นระยะ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำเหร่ บก.น.8 ระดมกำลังจากหลายพื้นที่ในเขตฝั่งธนฯทยอยมาสมทบต่อเนื่อง และประสานขอกำลัง ตร.ปจ.มาเพิ่ม จนเวลา 17.00 น. แม้สถานีรถไฟฟ้าจะปิดบริการไป แต่นักเรียน นักศึกษามาสมทบไม่ขาดสาย รวมตัวกันบนถนนกรุงธนบุรี สี่แยกตากสินเต็มช่องจราจรขาเข้า ก่อนเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปวงเวียนใหญ่เดินชู 3 นิ้วตะโกนให้ปล่อยเพื่อนเราและขอให้เปิดรถไฟฟ้าบีทีเอสและไม่เอารัฐประหาร และคำด่านายกฯดุเดือดสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการดูแลความเรียบร้อยของ ตร.บก.น.7-9 ที่สนธิกำลังกัน
ตชด. 4 คันมาส่งซิก 2 ทุ่มแยกย้าย
เวลา 17.40 น. ที่แยกตากสิน มีขบวน ตชด.ปจ. 4 คันรถวิ่งมาสมทบในพื้นที่ ทันทีที่ผู้ชุมนุมเห็นขบวนรถเลี้ยวเข้ามาใต้สกายวอล์กสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ ได้ชูสามนิ้ว ตะโกนขับไล่ว่า“ขี้ข้าเผด็จการ”และมีบางส่วนกรูเข้าไปเพื่อทุบรถ ขบวนรถทั้ง 4 คันต้องเลี้ยวเลี่ยงออกไปจอดนอกพื้นที่ชุมนุม จากนั้น 18.00 น. มวลชนหนาแน่นเต็มพื้นที่ ล้นลงถนนแยกตากสิน ปิดการจราจรโดยปริยาย มวลชนได้เปิดไฟแฟลชโทรศัพท์มือถือ พร้อมชูสามนิ้ว ร่วมยืนตรงร้องเพลงชาติ พอจบผู้ชุมนุมตะโกนบอกต่อๆกันว่า “สองทุ่มแยกย้ายๆ”
ดาวกระจายทั่วประเทศบีบ “ลุงตู่”
ขณะเดียวกัน กลุ่มเครือข่ายต่างจังหวัดหลายจังหวัดเคลื่อนไหวออกมากดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาทิ จ.นนทบุรี ที่สถานีรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีสะพานพระนั่งเกล้า นำโดยนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบท์ กลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีและนนทบุรี ปลดแอก เฉกเช่นที่หน้าตึกเอสซี มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานี มีนักศึกษานับพันออกมาให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุม บริเวณท่าเทียบเรือท่องเที่ยว พัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) เมืองพัทยา จ.ชลบุรี มีกลุ่มเยาวชนนับร้อยรวมพลังไล่รัฐบาล แม้ทางการยกข้อกฎหมายไม่ให้ชุมนุม สอดรับกับเครือข่ายกลุ่มเยาวชนปลดแอก จ.ราชบุรี รวมพลบริเวณลานหน้าห้างโรบินสัน ราชบุรี โจมตีรัฐใช้ความรุนแรง ที่เมืองปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ กลุ่มเยาวชนปลดแอกและกลุ่มสหพันธ์นักเรียนนครสวรรค์ รวมตัวกันบริเวณอเนกประสงค์บ่อบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครสวรรค์ ถนนริมเขื่อน ต.ปากน้ำโพ ประท้วงรัฐบาลใช้ความรุนแรง
อีสานพรึ่บรวมพลังต้านเผด็จการ
ส่วนที่ภาคอีสาน เช่น บริเวณลานหมอลำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มเยาวชนนับพันแสดงพลังโจมตีรัฐบาลอย่างเผ็ดร้อน จ.ขอนแก่น บริเวณชั้น 1 ภายในศูนย์อาหาร และบริการ 1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีนักศึกษานับพัน เรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกจับกุม เช่นเดียวกับเยาวชนปลดแอกอุดรธานีนับร้อย นัดเจอกันที่ลานน้ำพุ สนาม ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี ส่วน จ.ร้อยเอ็ดไม่น้อยหน้า สหภาพร้อยเอ็ดปลดแอก รวมตัวที่ลานหน้าหอโหวดบึงพลาญชัย ส่วนที่ป้ายรถโดยสารหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อ.เมืองอุบลราชธานี มีกลุ่มนักศึกษาและนักเรียนมัธยมนับร้อย รวมตัวกันชู 3 นิ้ว และป้ายกระดาษมีข้อความต่อต้านรัฐบาล
ภาคเหนือไม่น้อยหน้ามาตามนัด
ขณะที่ลานสนามกีฬาภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนนับร้อยออกมารวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้ความรุนแรง จ.เชียงราย ที่ลานดาวอาหารซี 1 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีนักศึกษานับพันรวมตัวปราศรัยโจมตีนายกฯ เช่นเดียวกับที่ จ.แพร่ มีผู้ชุมนุมนับร้อยมาร่วมตัวที่หน้าป้ายโรงเรียนพิริยาลัย กลุ่มเยาวชนใน อ.เชียงคำ จ.พะเยา นับร้อยแต่งตัวด้วยชุดดำ ผูกโบวขาวมารวมตัวกันที่สวนสุขภาพ 100 ปีเชียงคำ เฉกเช่นที่วงเวียนน้ำพุ ต.กุดป่อง อ.เมืองเลย มีมวลชนจำนวนหนึ่ง แสดงสัญลักษณ์ขับไล่รัฐบาล กลุ่มอุตรดิตถ์ไม่เอาเผด็จการ นับพันคนนัดรวมตัวที่ลานอเนกประสงค์ ริมน่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เพื่อส่งกำลังใจไปให้ม็อบที่กรุงเทพฯ
คนพัทลุงสาปแช่งเผารูป “ประยุทธ์”
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่หน้าศาลากลาง จ.พัทลุง (หลังเก่า) ตัวแทนแกนนำกลุ่มเขียนอนาคตประเทศไทย นำโดยนายประสิทธิชัย หนูนวล เอ็นจีโอคนดัง และตัวแทนกลุ่มประชาชนปลดแอกพัทลุง มีนายสันติชัย ชายเกตุ เป็นแกนนำ ร่วมแสดงออกคัดค้านรัฐบาลใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ เรียกร้องให้นายกฯลาออกทันที และอ่านคำแถลงการณ์สาปแช่ง ประกาศยุติดวงวิญญาณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะบริวาร รวมถึงคนบงการเบื้องหลัง ด้วยถ้อยคำดุเดือดเผ็ดร้อน พร้อมจุดไฟเผาทำลายภาพถ่ายนายกฯ และระบอบประยุทธ์
สภา นศ.–องค์การนิสิตฉะไร้มนุษยธรรม
สำหรับปฏิกิริยาของหลายภาคส่วน ปรากฏว่า 7 สภานิสิต นักศึกษาและ 8 องค์การนิสิตนักศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล ม.เกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ม.ศรีนครินทร-วิโรฒ ม.กรุงเทพ ม.สงขลานครินทร์ ม.ศิลปากร ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่แยกปทุมวันและใต้สถานีรถไฟฟ้าสยาม มิได้เป็นไปตามหลักสากล ไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนและหลักความจำเป็น ใช้รถฉีดน้ำผสมสารเคมีแรงดันสูงขอคืนพื้นที่ ผู้เข้าร่วมจำนวนมากบาดเจ็บ ระคายเคืองผิวหนังและดวงตา ขอประณามการสลายการชุมนุมอันไร้มนุษยธรรม สร้างความตื่นตระหนก หวาดกลัวและอันตรายแก่ประชาชนได้ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมแล้ว ขอเรียกร้องให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ปฏิบัติตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชนในการชุมนุม
“ปวิน” จี้กรีนพีซตรวจน้ำผสมสารสีฟ้า
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun โพสต์ข้อความว่า “ขอเรียกร้องให้องค์กร Green Peace เข้ามาตรวจสอบสารเคมีที่อยู่ในน้ำสีน้ำเงิน เหตุการณ์นี้เกิดที่ฮ่องกง จีนบอกว่าน้ำสีน้ำเงินไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่ Green Peace นำน้ำสีน้ำเงินที่ติดอยู่กับตัวผู้ประท้วงไปตรวจสอบ พบว่ามีสารเคมีอันตรายที่ทำปฏิกิริยาต่อผิวหนังและดวงตา (ส่วนผสมของแก๊สน้ำตา) และจะ ติดตัวอยู่ถึง 3 วัน (นอกเหนือไปจากสีน้ำเงินที่ล้างไม่ออก เพราะรัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องตรวจจับผู้ประท้วง) เราต้องเปิดเรื่องนี้ให้องค์กรระหว่างประเทศมาตรวจสอบเพราะเชื่อรัฐบาลไทยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
ตปท.เตือนพลเมืองเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์ วอยซ์ ออฟ อเมริกา ระบุว่าหลายประเทศออกคำแนะนำพลเมืองที่พำนักและมีแผนเดินทางเยือนประเทศไทย ทั้งรัฐบาลอังกฤษ รัฐบาลแคนาดาและนิวซีแลนด์ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์และสถานทูตอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย ให้แนะพลเมืองหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุมทุกเส้นทาง ระมัดระวังการแสดงออกทางการเมืองในที่สาธารณะ ติดตามข่าวสารใกล้ชิด เพราะอาจประท้วงยืดเยื้ออีกหลายวัน
สื่อนอกส่องไทยเสี่ยงรัฐประหาร
นอกจากนี้สื่อต่างชาติทั้งหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทม์ส เว็บไซต์ข่าว อัลจาซีรา หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ที่อ้างรายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ที่พยายามอธิบายเหตุใดประชาชนจึงออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอีกครั้ง โดยกล่าวถึงความเป็นมาและข้อเรียกร้องต่างๆ บทความดังกล่าวพูดถึงอนาคตการเมืองไทย ที่อาจเดินสู่ทางตันทำให้ประเทศไทยเสี่ยงต่อวิกฤติทางการเมืองและการทำรัฐประหาร
แอมเนสตี้ซัดรุนแรงฉีดน้ำใส่สารเคมี
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานนายแบรด อดัมส์ ผอ.ทั่วไปภาคพื้นเอเชียของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประณามรัฐบาลไทยว่า รัฐบาลต่างประเทศที่เป็นห่วงสถานการณ์ในประเทศไทยและสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ควรแสดงความเห็นในที่สาธารณะเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดปราบปรามกวาดล้างทางการเมืองทันที ด้านนายมิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ฯ เผยว่า การใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อสลายการชุมนุมโดยสงบเป็นสิ่งไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องอย่างสิ้นเชิงกับหลักการตามกฎหมายที่ได้รับการยอมรับในหลักการความจำเป็น และหลักการที่ได้สัดส่วนอย่างที่ทางการไทยอ้าง
แอมเนสตี้ได้เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่องประเทศไทย : การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงกับผู้ชุมนุม สะท้อนถึงมาตรการปราบปรามการประท้วงที่รุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ การใช้กำลังเกินกว่าเหตุเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารระคายเคืองและสีย้อมไม่เพียงก่อให้เกิดการบาดเจ็บ อาจนำไปสู่การพุ่งเป้าเพื่อจับกุมโดยพลการต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ ทางการไทยควรเคารพคุ้มครองและประกันการใช้สิทธิมนุษยชนของผู้จัดและผู้เข้าร่วม
ประกาศฉุกเฉินฯกระทบสิทธิพื้นฐาน
วันเดียวกันเฟซบุ๊ก บีบีซีไทย รายงานว่า น.ส.ราวินา ชัมดาซานิ โฆษกสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวในการแถลงข่าวที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยแสดงความกังวลเรื่องที่ทางการไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ทั้งที่การชุมนุมส่วนใหญ่เป็นไปโดยสงบ เรามีความกังวลเรื่องการควบคุมตัวและจับกุมนักกิจกรรม รวมทั้งผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหลายคน รวมถึงผู้เข้าร่วมชุมนุม เป็นห่วงอย่างยิ่งต่อการตั้งข้อหาร้ายแรงหลายข้อหาจะส่งผลเสียต่อการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ด้านนายสเตฟาน ดูจาร์ริก ตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ระบุว่า เฝ้าติดตามสถานการณ์การชุมนุมประท้วงในไทยอย่างใกล้ชิด
“โจ หว่อง” เชียร์ม็อบชนรัฐบาล
ขณะที่นายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ทวีตภาพที่ตัวเองชูสามนิ้ว อันเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม และถือป้ายที่เขียนแฮชแท็กว่า #StandWithThailand ว่าประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาล มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่ควรกลัวประชาชน
พท.ซัด รบ.ใช้อำนาจเกินเหตุ
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ประธานคณะทำงานเพื่อติดตามการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน ในคณะ กมธ.การปกครอง สภาฯ กล่าวว่า รัฐบาลกระทำเกินไป ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเกินเหตุ รู้อยู่แล้วว่าผู้ชุมนุมจะไม่ค้างคืน ไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องกระชับพื้นที่ ภาพไม่ดีออกสู่สายตาชาวโลกมีแต่เสียกับเสีย ผู้มีอำนาจต้องเจรจากัน มาพูดคุยกับแกนนำมากกว่าฉีดน้ำผสมสี สร้างความไม่พอใจยิ่งขึ้นไม่จบง่ายๆ ควรใช้สภาฯเป็นที่พึ่ง ถ้าฝ่ายค้านรวมรายชื่อ ส.ส.ขอเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญเรียบร้อยจะยื่นประธานสภาฯวันที่ 19 ต.ค. ขอ ส.ส.รัฐบาลร่วมลงชื่อ รอไม่ได้แล้ว
โวยปืนฉีดน้ำเเรงดันสูงผิดหลักสากล
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผ่านคลิปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ระบุว่า ตามหลักการใช้งานปืนฉีดน้ำแรงดันสูงขององค์การสหประชาชาติ มีองค์ประกอบวิธีการใช้ว่าต้องไม่ฉีดเข้าตัวบุคคล ฉีดกรณีมีผู้เสียชีวิต หรือมีการเข้าควบคุมสถานที่ราชการเป็นเวลานาน จะใช้ได้กับม็อบที่เคลื่อนที่เท่านั้น ม็อบที่นั่งอยู่กับที่ใช้ไม่ได้ การใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงยังห่างจากหลักการสากล ยังมีเรื่องสิทธิเด็กในม็อบด้วย
จี้เปิดวิสามัญก่อนไม่มีรัฐสภา
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันทุกฝ่าย ตัวแทนรัฐบาล พรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาฯ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนผู้ชุมนุมนำไปสู่การเจรจาทุกเรื่องป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายนำไปสู่ความรุนแรง กลไกรัฐสภาขับเคลื่อนหาทางออกให้ประเทศได้ ประธานคณะ กมธ.สามัญทุกคณะ คณะ กมธ.วิสามัญชุดสำคัญ ประธานวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้านประชุมนอกรอบช่วยกันคิดหาทางออก ควรลดรา วาศอก เอาแต่ชนะคะคานประกาศชัยชนะบนซากปรักหักพังของประเทศจะเกิดประโยชน์อะไร
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้อง ส.ว.ทุกคนและ ส.ส.ทุกพรรคลงชื่อในญัตติขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญยื่นต่อประธานรัฐสภาโดยเร็วที่สุด ก่อนที่สถานการณ์การเมืองจะวิกฤติไปมากกว่านี้ ก่อนจะไม่มีรัฐสภาแก้ปัญหาประชาชนอีกต่อไป
“สายหยุด” นำทีมบี้ “ลุงตู่” ออก
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุสลายม็อบที่สี่แยกปทุมวัน และมีการชุมนุมของประชาชนในช่วงเดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจต่อคณะผู้ปกครอง ประเทศ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ได้ขยายตัวและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทางออกในเรื่องนี้คณะประชาชน ประกอบด้วยอดีตนักการเมือง นักการทหาร อดีตผู้พิพากษา ผู้พิพากษา นักวิชาการ นักธุรกิจ นักการเมือง นักเขียน รวม 138 คน นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล มีความห่วงใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง ขอแสดงจุดยืนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีต่อประเทศ โดยถึงเวลาที่นายกฯต้องเสียสละด้วยการลาออก และขอคณะผู้บริหารใหม่อยู่ในวาระที่เหลือของรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลต้องปล่อยตัวนักศึกษา ประชาชน นักศึกษาที่ถูกจับกุม
“ยิ่งลักษณ์” ให้ “บิ๊กตู่” ฟังเสียงเด็ก
วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ไม่ทราบว่าทุกท่านจำได้ไหม เมื่อหกปีที่แล้วประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมกันเรียกตัวเองว่า กลุ่ม กปปส. เรียกร้องให้ดิฉันลาออก คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขณะนั้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ถามดิฉันว่าจะประคองรัฐบาลต่อไปได้หรือไม่ ในที่สุดดิฉันตัดสินใจประกาศยุบสภา เปิดทางให้เลือกตั้งใหม่ ประชาชนจะได้ตัดสินอนาคตประเทศด้วยตัวเองตามระบอบประชาธิปไตย เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับคุณประยุทธ์ ข้อเรียกร้องนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนเรือนแสน อยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลง ให้คุณประยุทธ์ลาออกและแก้รัฐธรรมนูญ สถานการณ์ไม่น่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เยาวชนลุกขึ้นยืนเพื่อใช้สิทธิ แล้วทำไมไม่รับฟังข้อเรียกร้องเยาวชนบ้าง นึกถึงตอนที่ท่านเคยถามเมื่อหกปีที่แล้วว่า ดิฉันไหวไหม หวังว่าจะจำได้ และเลือกจะตัดสินใจโดยเร็ว หยุดใช้ความรุนแรงกับเยาวชน เพื่อบ้านเมืองจะได้สงบและเดินต่อไปได้
นายกฯแจงเร่งยุติม็อบ
เมื่อเวลา 12.40 น.นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ชี้แจงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 16 ต.ค. รัฐบาลดำเนินการตามขอบเขตกฎหมายเพื่อพยายามยุติการชุมนุม ไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนกลุ่มใด เน้นดำเนินการตามหลักสากล กำชับเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้เน้นความปลอดภัยสูงสุดของผู้มาร่วมชุมนุมทุกคน รัฐบาลต้องเร่งยุติการชุมนุมเพื่อป้องกันกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าเดิม การปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลเหตุการณ์ชุมนุม เพื่อหวังผลทางการเมือง และให้สังคมแตกแยกถือเป็นความผิดร้ายแรงที่รัฐบาลต้องเร่งจับกุมกลุ่มบุคคลดังกล่าว เหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ไม่มีคำว่าพ่ายแพ้หรือชัยชนะของฝ่ายใด หากแต่เป็นความเสียหายและพ่ายแพ้ของคนไทยและประเทศไทย นายกฯได้ย้ำขอความร่วมมือประชาชนทุกฝ่าย ร่วมกันหลีกเลี่ยงการร่วมชุมนุม ไม่ทำสิ่งใดซึ่งขัดกฎหมาย และย้ำจะเร่งนำความเรียบร้อยกลับสู่บ้านเมืองโดยเร็วที่สุด
ตร.แจงสลายม็อบชุมนุมมิชอบ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 16 ต.ค. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. แถลงหลังบังคับใช้กฎหมายพื้นที่แยกปทุมวัน พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายควบคุมฝูงชน เนื่องจากการชุมนุมมิชอบด้วยกฎหมาย ฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมและมั่วสุมเกินกว่า 5 คน ปฏิบัติตาม ขั้นตอนควบคุมฝูงชนตามหลักสากลเคร่งครัด ประกาศด้วยวาจาหลายครั้ง จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยเบาไปหาหนัก การใช้น้ำผสมสารเคมีประเภทสี มีวัตถุประสงค์แยกแยะกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อใช้ดำเนินคดี ยืนยันว่าเป็นสารไม่มีอันตรายและใช้สารเคมีผสมน้ำเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมระงับยับยั้งล่าถอย ส่งผลผิวหนังแสบ แต่ใช้น้ำล้างออกได้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บบางส่วน ต้องแสดงความเสียใจกับการบาดเจ็บกับกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตา คุม 7 ผู้ต้องหานำตัวไปควบคุมที่ ตชด.ภาค 1”
ยืนกรานไม่ได้ใช้อาวุธรุนแรง
ต่อมาเวลา 13.40 น. ที่ บช.น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ (สบ 6) รพ.ตร. ร่วมแถลงกรณีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองบริเวณแยกปทุมวัน พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวว่า การปฏิบัติการเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ได้ยึดหลักกฎหมายสากล ไม่มีการใช้อาวุธรุนแรงตามที่เป็นข่าว ส่วนผสมที่อยู่ในน้ำ เป็นสารเคมี ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อบุตา หรือถึงแก่ชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังระคายเคือง เมื่อถามว่าม็อบนัดเลิกชุมนุมเวลา 22.00 น. ทำไมตำรวจถึงเข้าควบคุมพื้นที่ก่อน โฆษก ตร.กล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำหนดห้ามชุมนุม และตำรวจประกาศห้ามชุมนุมตั้งแต่ 12.30 น. ดังนั้นจะเลิกชุมนุมหรือไม่ ถือว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกเหตุผลหนึ่งที่บังคับใช้กฎหมายในทุกมิติ เนื่องจากประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องในการชุมนุมได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้เส้นทางจราจรได้
ตำรวจ-ม็อบเจ็บเล็กน้อยทั้ง 2 ฝ่าย
ด้าน พล.ต.ต.สามารถกล่าวว่า ตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้ชุมนุม 5 นายและอีกประมาณ 10 รายปฐมพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 3 คน 2 คนรักษาอาการแผนกผู้ป่วยนอกที่ รพ.หัวเฉียว อีกรายถูกสารเคมีและอีก 1 รายรักษาที่ รพ.จุฬาฯ เนื่องจากหายใจเร็ว เน้นย้ำโรงพยาบาลตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาทั้งประชาชนและตำรวจ ไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ แนวทางการทำงานของระบบการแพทย์ รพ.ตำรวจ เชื่อมโยงเครือข่ายทางการแพทย์ทุกโรงพยาบาลกรณีมีการชุมนุม ผู้ที่ดูแลระบบจะเป็นกรมการแพทย์ ศูนย์เอราวัณ มีหน้าที่จัดทีมแพทย์เข้าประจำจุดต่างๆ ส่วน รพ.ตำรวจ ประจำจุดอยู่ใกล้บริเวณที่ชุมนุม
เพิ่มสถานที่ควบคุมผู้ต้องหา
ที่ ตร. เมื่อเวลา 19.00 น. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า ขณะนี้การส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือนหรือข่าวปลอมยังคงอยู่ เช่น การใช้ภาพเยาวชนคุกเข่าหันหน้าเข้ากำแพง และถูกพันธนาการด้วยเชือก เอามือไพล่หลัง และมีข้อความว่า เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ขอเรียนว่าเป็นข่าวปลอม เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ฮ่องกง ขอวิงวอนว่าส่งต่อข้อความเหล่านี้มีโทษจำคุกตามความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
วันเดียวกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้า กอร.ฉ. ออกหนังสือเลขที่ 6/2563 เรื่องกำหนดสถานที่ควบคุมเพิ่มเติม ระบุว่าหากจับกุมผู้กระทำผิด โฆษณา หรือปกปิดข้อมูลในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ส่งตัวไปควบคุมที่กองบัญชาการช่วยรบที่ 1 ค่ายพนัสบดีศรีอุทัย จ.ชลบุรี มีผลทันที
ศาลสั่งปล่อยตัว 8 ให้ประกัน 3
เมื่อเวลา 09.30 น. พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ควบคุม 8 ผู้ต้องหาแนวร่วมคณะราษฎร 2563 ประกอบด้วยนายณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ นายเอฐ์เรียฐ์ ฟอฟิ น.ส.ชลธิชา คุ้มจันทร์อัด นายพรพสุ ชูรอด นายคณิติน ติเยาว์ นายอรรคพล วันทะไชย และนายอินทราช แสงมณี ร่วมกันกระทำผิด พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร จับกุมระหว่างสลายการชุมนุมแยกปทุมวัน คืนวันที่ 16 ต.ค. มาผลัดฟ้องฝากขังที่ศาลแขวงปทุมวัน ต่อมาศาลฯพิจารณาคำร้องขอฝากขัง พิเคราะห์ว่าผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สั่งยกคำร้องขอฝากขัง ก่อนปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไป ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินีคุมนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด และนายสมบัติ ทองย้อย 3 ผู้ต้องหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงฯมาผลัดฟ้องฝากขัง ศาลฯพิจารณาคำร้องแล้วให้ 3 ผู้ต้องหาใช้เงินสดคนละ 2 หมื่นบาท ประกันตัวออกไป
“สมยศ” วืดประกันข้อหาปักหมุด
ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม นำตัวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาคดีมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนฯ มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 ต.ค. กรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ผู้ต้องหากับพวกร่วมกันปักหมุดคณะราษฎร บริเวณท้องสนามหลวงอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมจัดการชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในส่วนการชุมนุมที่เกี่ยวกับความมั่นคงและอื่นๆ และข้อหาตาม ป.อาญา ม.116 ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการกระด้างกระเดื่องในบ้านเมืองฯ ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เกรงว่าผู้ต้องหากระทำผิดซ้ำ และมีพฤติการณ์น่าจะหลบหนีจะติดตามตัวยาก ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมานายสมยศยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว แต่ศาลไม่อนุญาตส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ปล่อย “บุญเกื้อหนุน” “เอกชัย” ไปเรือนจำ
ขณะที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ควบคุมตัวนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง สองผู้ต้องหาคดีร่วมกันพยายามกระทำการประทุษร้ายต่อเสรีภาพพระราชินีมาขออำนาจศาลฝากขัง พนักงานสอบสวนระบุสอบสวนและควบคุมผู้ต้องหาจะครบ 48 ชม. แต่ยังไม่เสร็จสิ้น รอสอบปากคำอีก 10 ปาก รอผลตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติต้องโทษของผู้ต้องหาและเสนอสำนวนผู้บังคับบัญชา จึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างการสอบสวน 12 วันตั้งแต่วันที่ 17-28 ต.ค. หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและก่อเหตุร้ายประการอื่น ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาแม่นายบุญเกื้อหนุนได้ยื่นขอประกันตัวลูกชาย ศาลฯอนุญาตให้ประกันวงเงินประกัน 2 แสนบาท กำหนดห้ามไปประพฤติในลักษณะเดิมอีก ส่วนนายเอกชัยเตรียมเอกสารการประกันตัวไม่พร้อม ศาลฯจึงออกหมายขังส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทันที