โฟกัส “บิ๊กตู่” เผชิญกระแสกดดันรื้อรัฐธรรมนูญ เซอร์ไพรส์เล็กๆ แต่ไม่พลิกโผแต่อย่างใด
ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างและเพิ่มเติมบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ประกอบด้วย 1.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง 2.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน
3.นายอนุชา นาคาศัย เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 4.นายปรีดี ดาวฉาย เป็น รมว.คลัง 5.นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม 6.นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็น รมว.แรงงาน 7.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็น รมช.แรงงาน
ตรงตามกระแสข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอไปก่อนหน้า
จะมีแค่คิวของนายดอนที่โผล่มาควบเก้าอี้รองนายกฯอีกตำแหน่ง เช่นเดียวกับนายสุพัฒนพงษ์ที่ควบเก้าอี้รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ผิดจากเดิมที่คาดว่าจะเป็นนายปรีดีควบรองนายกฯตามสถานะขุนคลัง
ตามเหตุผลทางเทคนิคเกี่ยวกับเรื่องของการมอบหมายงาน
การวางลำดับชั้นความสำคัญของ “ตัวช่วย” ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ตัดสินใจเลือกวาง “มืองาน” ตามภารกิจและความไว้เนื้อเชื่อใจ
เหนืออื่นใด เผื่อสถานการณ์ปัญหาขบเหลี่ยมอำนาจสั่งการ
นี่ว่ากันเฉพาะในมุมของ “โควตากลาง” นายกฯ ไม่เกี่ยวกับโควตาของพรรคพลังประชารัฐที่จัดกันตามอัตภาพ นายอนุชาเสียบ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายสุชาติประเดิม รมว.แรงงาน หนีบ “โฆษกบิ๊กอาย” นางนฤมลพ่วงเป็นรัฐมนตรีช่วย เบียดคนของพรรคร่วมรัฐบาล นายเอนกไปอยู่โยง รมว.การอุดมศึกษาฯ
...
แชร์กันระหว่าง “ทีม เสธ.ตึกไทยฯ” กับ “ลูกข่ายบ้านป่ารอยต่อฯ”
มองตามเนื้อผ้ามุ่งแก้ปัญหาการเมืองในพรรค มากกว่าเน้นเชิงบริหาร
โฉมหน้า ครม. “ประยุทธ์ 2/2” ภายใต้ข้อจำกัดที่ยังห่างไกลหลักปฏิบัติหรูๆแบบ new normal
“บิ๊กตู่” ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับภารกิจหนักอึ้ง มหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิด-19 ที่รออยู่เบื้องหน้า อารมณ์
ผู้สันทัดกรณีให้กำลังใจกันพอเป็นพิธี ไม่อยากติเรือทั้งโกลน ทำลายขวัญสั่นประสาทประชาชนให้มากกว่านี้
แต่แอบ “เป่าปาก” แนะนำรัดเข็มขัดให้แน่นๆ สวมหมวกกันน็อกดีๆ
ที่แน่ๆจากการเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐต่อเนื่องกับ ครม.ในห้วงวิกฤติ เหตุผลแค่ตอบสนองเกมอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง พานฉุดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้ดำดิ่ง
มันคือสิ่งสะท้อนปรากฏการณ์ “ปฏิรูปการเมือง” วนในอ่าง
ตามสภาพผู้นำรัฐบาลอ้างวิถีการเมือง ต้องพึ่งเสียง ส.ส.ในสภาค้ำอำนาจ ปรับ ครม.เปลี่ยนม้ากลางศึก เปิดทางแกนนำกลุ่ม ก๊วน พรรคการเมือง เข้ามายึดโควตารัฐมนตรี เสี่ยงต่อการซิกแซ็กงบประมาณ ใช้อำนาจในทางมิชอบ ไฟต์บังคับต้องหาผลประโยชน์ดูแลแก๊ง ส.ส. ขณะที่พวกผิดหวังก็จ้องก่อหวอด ป่วนเกมในสภา
วงจรอุบาทว์วนกลับมาซ้ำรอยเดิม
เพิ่มเติมคือการขยายวงไปโยงเอี่ยวกับอำนาจท็อปบูต โดยเงื่อนไขสถานการณ์นัวเนีย พลิกขั้ว สลับหัว สลับหาง กลายเป็นนักการเมืองพันธุ์เดิม เครือข่ายขั้วอำนาจเก่าผนึกกับขุมข่าย 3 ป. ต่อท่ออำนาจ
ส่อผิดรูปผิดร่าง “ปฏิรูปการเมือง” ไม่ตรงปก กองเชียร์ยังเหนื่อยใจ ประชาชนคนกลางๆหงุดหงิด
การผิดสัญญาประชาคมในจังหวะเสริมความชอบธรรมให้กับขบวนการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่กลับมาระอุ เป็นหัวเชื้อไวไฟกระตุ้นการเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ยกระดับยุทธศาสตร์มวลชน
กระตุ้นแนวร่วมประชาชน ไม่ทนขุมอำนาจ 3 ป.
ภาพการลากยาวอำนาจ 3 ป.เร้าปรากฏการณ์ก่อตัวอย่างมีพลังของคนรุ่นใหม่ มวลชนยุคดิจิทัล ม็อบแฮมทาโร่ ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ มากันเต็มลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เชื่อมโยงแฟลชม็อบกระจายพรึบทั่วประเทศ ลามตามเมืองมหาวิทยาลัย เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมาแสดงพลังอย่างต่อเนื่อง
จะว่าเรื่องเด็กเฮี้ยวก็ไม่ได้ เมื่อลุงๆก็ไม่ได้แสดงถึงความหวังในการฝากอนาคต
สถานการณ์ส่อไม่พ้นกฎการเคลื่อนของดวงเมืองผิดปกติวิถี
ตามฟอร์มธรรมชาติ ณ วันที่ “ขาลง” กระแสด้านลบผุดมาฉุดศรัทธา วิกฤติซ้อนวิกฤติ “บิ๊กตู่” หายใจหายคอแทบไม่ทัน แทบทุกช็อตไหลรวมเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
พานเป็นแรงกระแทกรัฐบาล เขย่าสถานภาพสั่นคลอน
โดยเฉพาะอาฟเตอร์ช็อกปรากฏการณ์คดีแห่งชาติปมฉาว “บอส อยู่วิทยา” ทายาทอภิมหาเศรษฐี หลุดข้อหาขับรถชนตำรวจตาย แหกโค้งพุ่งเข้าชน “บิ๊กตู่” และฝ่ายคุมอำนาจรัฐ ระเนระนาด
ประจานความล้มเหลว “ปฏิรูปตำรวจ–อัยการ”
สะท้อนความฟอนเฟะของกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ กลางน้ำที่เป็นต้นตอวิกฤติความขัดแย้งแบ่งขั้วแบ่งข้างในบ้านเมืองจนเกือบรัฐล่มสลาย ผ่านมา 6–7 ปี ท่ามกลางแรงกดดันเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ห้วงอำนาจพิเศษยกเครื่องตำรวจ ปรับอำนาจอัยการ
แต่ก็ติด “เงี่ยง” แฝงในขุมข่าย 3 ป.ไม่คืบไปไหน
มันจึงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู เมื่อ “โป๊ะแตก” ปม “บอส อยู่วิทยา” โผล่มาฉาวระดับโลก ตอกย้ำความไม่เป็นธรรมชนชั้นคนรวย คนจน นานาชาติยังโห่ฮาพากันจับตาอาการแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเรียกใช้บริการยี่ห้อ “วิชามหาคุณ” มาเป็นตัวช่วยฉุกเฉิน นั่งแท่นประธานกรรมการสอบ
ฉุดกระแสรั้งความศรัทธาประคองความเชื่อมั่น
อารมณ์แบบที่นายกฯประกาศลั่น ไม่โอเค คดีอื้อฉาว ไฟเขียวลุยทะลุสุดซอยเปิดทางไล่สอบดะเส้นทางเงินไหลไปทางไหน และนั่นก็น่าแฉลบไปถึงคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่แต่งตั้งโดย คสช.
ยี่ห้อ “วิชา มหาคุณ” ค้ำเครดิต จบแบบหยวนๆไม่ได้แน่
กระแสปฏิรูปตำรวจ ยกเครื่องอัยการ แรงเกินยื้อ ยากต้านทาน แถมในจังหวะสถานการณ์ยิ่งตอกย้ำความเน่าของตำรวจไปกันใหญ่ กับเหตุยิงกันตายเกลื่อนคาบ่อนกลางกรุง
ย้อนคอหอยผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่คุยฟุ้งยุคนี้ไม่มีบ่อน ธุรกิจใต้ดิน
ตามปรากฏการณ์ที่เห็นกันตรงหน้า ดีลปฏิรูปตำรวจ อัยการไม่มีการพัฒนาในทิศทางบวก สัญญาประชาคมปฏิรูปการเมืองกลับมาวนอยู่ในอ่าง แถมส่อเน่าหนักกว่าเดิม
“บิ๊กตู่” อยู่ในภาวะจำนนด้วยหลักฐานเถียงไม่ออก
กระแสโห่ไล่ 3 ป. เสียงไฮด์ปาร์ก บนเวทีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ดังอย่างมีน้ำหนัก
โดยสถานการณ์ถึงจุดต้องเจาะช่อง “ระบาย” แรงกดดัน
ตามจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าหารือเป็นการส่วนตัว ก่อนการประชุม ครม.นัดที่ผ่านมา
ก่อนที่ “บิ๊กตู่” จะประกาศ พร้อมรับฟังข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยรูปเกม นายกฯมัดคอประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยเดินไปด้วยกัน ล็อกไม่ให้พรรคร่วมรัฐบาลแหกคิวเล่นบทโหนขบวนนักศึกษา ชิ่งไปตีกินเกมแก้กติกา
นั่นเพราะ “บิ๊กตู่” และขุมอำนาจ 3 ป.รู้อยู่แก่ใจ อ่านไต๋ออก
อาการของ “นักเลือกตั้งอาชีพ” ทุกป้อมค่ายต่างมีเป้าหมายรื้อรัฐธรรมนูญในการโละ “250 ส.ว.” เครื่องมือสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ในการต่อท่ออำนาจ
และนั่นก็ตรงกับธงยุทธศาสตร์ของม็อบนักศึกษาฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
โดยเงื่อนไขสถานการณ์มีโอกาสที่ “บิ๊กตู่” และขุมข่าย 3 ป.จะถูกโดดเดี่ยวลอยแพ ยิ่งตามฟอร์มที่แบไต๋พรรคพลังประชารัฐไม่เอาด้วยกับการตั้ง ส.ส.ร. ยื้อแค่เปิดช่องให้แก้ไขเฉพาะบางมาตรา ซึ่งนั่นก็ล้อกับท่าทีของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ที่ไม่เอาด้วยกับการชงแก้ไขมาตรา 256 เปิดทางตั้ง ส.ส.ร.รื้อยกกระบิ
ว่ากันตามเหลี่ยมนี้ก็เป็นการยาก หากจะแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องอาศัยเสียง 1 ใน 3 ของ 250 ส.ว.
3 ป.ไม่หรี่ตา ส.ว.ไม่ยอมคายอำนาจ ก็ขยับไม่ออก
ตามรูปการณ์มันก็น่าจะได้แค่เจาะช่องระบายแรงดันม็อบนักศึกษา ดึงจังหวะไปพลางๆ
แต่มาถึงจุดนี้ คงไม่ยอมหลงเหลี่ยมยื้อเวลาเหมือนกัน ด้วยพลังการขับเคลื่อนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในนาม “เยาวชนปลดแอก” ที่จ่อยกระดับเป็นแนวร่วม “ประชาชนปลดแอก”
ไล่ “บิ๊กตู่” ยุบสภา ยื่นคำขาดต้องรื้อรัฐธรรมนูญ
ท่ามกลางเกมเพาเวอร์เพลย์ การปลดล็อกประตูไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องฝ่าหลายด่าน หรือแม้แต่การยุบสภา เลือกตั้งกันใหม่ ภายใต้กติกาเดิม พล.อ.ประยุทธ์ก็มีโอกาสสูงกว่าใครจะได้กลับมา
ต่างฝ่ายต่างยื้อเป้าหมายไปคนละทาง โอกาสจูนกันลงล็อกยาก
แต่ที่ง่ายเลยก็คือ “โรคแทรก” ตามอารมณ์แบบที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. สอนน้องนักเรียนนายร้อย จปร.ว่าด้วยเรื่องของ “โรคชังชาติ” ฟาดหางไปที่แนวร่วมนักเรียน นิสิต นักศึกษา
ท็อปบูตคำรามฮึ่มฮั่ม จ้องสกรัมพวกก้าวล่วงเขตแดนมิบังควร
สถานการณ์ล้อฉากประวัติศาสตร์ ท่ามกลางกระแสปฏิรูปเชี่ยวกราก เสียงเรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญทวงประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ประเทศไทยแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงเพราะการปฏิรูป
ส่วนใหญ่จะจบที่ “ปฏิวัติ” ก่อน นำมาซึ่งเกมแลกเลือด.
“ทีมการเมือง”