ย้ายคน ‘คุมกำลัง’ ระดับกองพัน ทบ.

ฝ่ายค้านเล็งล้อมคอก รบ.หว่านงบฯเงินกู้ 1.9 ล้านล้าน “ก้าวไกล” จับตาเข้มข้นพร้อมข้อเสนอแนะ ชงโครงการใส่มือรัฐ “วิโรจน์” ห่วงละเลง 4 แสนล้านหายวับไร้แผนงานชัดเจน ตามบี้หั่นทิ้งงบฯ ไม่จำเป็น-งบผูกพันซื้ออาวุธ ทบ. “พิชัย” เตือน ก.คลังทุ่ม 4 แสนล้านช่วยเกษตรกร ระวังซ้ำซ้อนกระทรวงอื่น ดักคออย่าใช้เงินกู้เอื้อ ส.ส.พปชร.ค้ำเก้าอี้ “ทีมสมคิด” ด้าน “วัฒนา” หยันประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงานทหารเกษียณ ฉะรัฐสร้างอุปสรรคขวางทางรอดผู้ประกอบการ กางแผนรัฐบาลออกพันธบัตร-ตั๋วสัญญาใช้เงินกู้ในประเทศ 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์กู้ต่างประเทศ ทยอยกู้ 6 แสนล้านปีงบฯ 63 และ 4 แสนล้าน ปีงบฯ 64 “ศรีสุวรรณ” แฉซ้ำ กฟผ.จัดซื้อครุภัณฑ์แพงเว่อร์ เครื่องตรวจสอบแก๊สจีน 1.1 ล้าน แต่ขายในญี่ปุ่นแค่ 3.8 แสน ส่ง 20 รายการให้ สตง.เช็กยิบ

หลังจากพรรคร่วมฝ่ายค้านรวบรวมเสียง ส.ส.ได้ไม่ครบ 1 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภา ไม่สามารถเสนอให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ จึงต้องเก็บข้อมูลไว้อภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับของรัฐบาล และ พ.ร.บ.โอนงบฯ เมื่อเปิดการประชุมสภาฯสมัยสามัญหลังวันที่ 22 พ.ค.ไปแล้ว

“ก้าวไกล” จับตาเข้มใช้งบฯ พ.ร.ก.กู้เงิน

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ วงเงินกว่า 1.9 ล้านล้านบาทว่า ต้องดูว่าวงเงินทั้งหมดจะเพียงพอและช่วยเหลือประชาชนตามเป้าหมายได้หรือไม่ ที่ผ่านมาเราเห็นแล้วว่ามาตรการเยียวยาของรัฐบาลทำได้ช้าและขาดประสิทธิภาพอย่างมาก และมาตรการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรจะมีผู้ตกหล่นจำนวนมากอีกหรือไม่ รัฐบาลจะเปลี่ยนวิธีคิดหรือไม่ที่จะทำให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือจากเงินก้อนนี้ได้อย่างทั่วถึง ในส่วนแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบ ดูการจัดสรรงบประมาณยังไม่เห็นในส่วนนี้เลย ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะจับตาการใช้เงินส่วนนี้อย่างเข้มข้น เราไม่ได้ค้านหรือจับผิดเพียงอย่างเดียว จะมีข้อเสนอการใช้จ่ายและจัดทำโครงการเสนอต่อรัฐบาลด้วย เพื่อเป็นการช่วยเหลือประเทศและประชาชนอีกทางหนึ่ง

...

หวั่นละเลง 4 แสนล้านไม่มีแผนงานชัด

โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า ส่วนเงิน 4 แสนล้านบาทที่จะใช้สำหรับแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตรงนี้ถือว่าน่ากลัวเพราะยังไม่มีแผนงานหรือวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เกรงว่าจะเอาไปทำโครงการอะไรไม่รู้ หรือเอาโครงการเดิมมาเติมคำว่า “สู้ภัยโควิด” ต่อท้าย หากเป็นแบบนี้จะไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเอาโครงการที่มีอยู่แล้วมาเติมชื่อ ไม่ได้เป็นการสร้างงานใหม่ พยุงการจ้างงานในระบบเดิม หรือเอาเงินไปหมุนเศรษฐกิจ ดังนั้นในส่วนนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้ได้ว่าจะเอาไปทำอะไรและเกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจอย่างไร

จับรีดไขมันงบฯไม่จำเป็นบี้หั่นงบฯผูกพัน ทบ.

นายวิโรจน์ยังกล่าวว่า อีกเรื่องที่น่าจับตามองคือ การโอนงบประมาณ มีงบประมาณที่ถูกโอนจากงบฯที่ไม่ควรโอนบ้างหรือไม่ เช่น งบฯบัตรทอง ที่ควรไปเอาในส่วนของกองทัพดีกว่าหรือไม่ ขอย้ำว่าการโอนงบประมาณไม่ควรดูที่เปอร์เซ็นต์ อย่างที่กระทรวงกลาโหมและกองทัพชี้แจงว่าโอนงบฯไปแล้ว 30% หากดูคร่าวๆเหมือนจะเยอะแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงกระทรวงกลาโหมเบิกงบฯในแต่ละปีประมาณ 50% เท่านั้น ดังนั้นที่บอกว่าโอนมาแล้ว 30% แล้วอีก 20% ที่ไม่ได้ใช้ทำไมยังกั๊กไว้ เชื่อว่ายังโอนมาได้มากกว่านี้ เพราะงบฯลงทุนของกระทรวงกลาโหม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยแต่ละปีถือว่าต่ำมาก และยังไม่ได้รีดไขมันส่วนเกินออกมาด้วย เช่น งบฯสัมมนา งบฯการดูงานต่างประเทศ การจัดซื้ออาวุธ สิ่งที่ไม่จำเป็นในสถานการณ์แบบนี้โอนมาบ้างหรือยัง รวมถึงงบฯผูกพันในการจัดซื้ออาวุธ ต้องตรวจสอบเช่นกัน เพราะเหมือนว่ากองทัพบกจะยังไม่ยอม ผิดกับกองทัพเรือที่ยกเลิกการซื้อเรือดำน้ำไปแล้ว

“พิชัย” ห่วงหว่านช่วยเกษตรกรซ้ำซ้อน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีกระทรวงการคลังเตรียมจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ว่า การทยอยออกพันธบัตร จำนวนน้อยเช่นนี้เป็นเรื่องดี เพราะปัจจุบันเรามีเงินในระบบเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก การออกพันธบัตรออมทรัพย์เช่นนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ เพราะมีดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงินปกติ และการทยอยออกพันธบัตรเช่นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของระบบการเงิน และรัฐไม่ต้องเสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลาต้องใช้เงินค่อยออกพันธบัตร จึงเห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว แต่ตั้งข้อสังเกตที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ออกมาระบุจะนำเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินของกระทรวงการคลังจำนวน 4 แสนล้าน ไปช่วยเกษตรกรและฐานราก เกรงจะเป็นการใช้งบประมาณซ้ำซ้อนกับกระทรวงต่างๆที่มีแผนงานอยู่แล้วหรือไม่

เหน็บใช้เงินกู้ค้ำตำแหน่ง “ทีมสมคิด”

นายพิชัยกล่าวอีกว่า อีกทั้งในอดีตที่นายสมคิด ใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวไม่เคยประสบความสำเร็จ คนจนยิ่งเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง ครั้งนี้ก็เป็นห่วงจะเป็นการใช้เงินโดยไม่ได้อะไรกลับมาเช่นเดิม นอกจากนี้ยังเป็นห่วงว่าการใช้เงินดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ผ่านไปถึง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ให้หนุนหลังนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน รวมถึงนายสมคิดเอง ไม่ให้กดดันออกจากตำแหน่งหรือไม่

“วัฒนา” สับ รบ.อุปสรรคฉุดธุรกิจไม่รอด

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า ความจริงที่ต้องยอมรับคือเศรษฐกิจหลังโควิด-19 จะหนักหนาสาหัส แต่รัฐบาลจะฉวยเอาความสำเร็จของการคุมโรคที่เกิดจากความร่วมมือของคนไทยมากลบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายคาดว่าจีดีพีจะติดลบถึงร้อยละ 10 ผู้นำที่รับราชการมาทั้งชีวิตไม่มีทางจินตนาการออกว่าการคลายล็อกด้วยเงื่อนไขที่เกินกว่าความจำเป็นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด เช่น การห้ามร้านตัดผมให้บริการอื่นนอกจากตัด สระ ไดร์ รวมทั้งข้อห้ามที่ไม่สมเหตุสมผลในร้านอาหาร เช่น เปิดให้นั่งรับประทานอาหารหากเว้นระยะห่าง 1-1.5 เมตร ต้องมีฉากกั้น รวมถึงเคอร์ฟิวที่นอกจากจะไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ร้านเล็กๆดำเนินการไม่ได้เพราะไม่คุ้มทุน เท่ากับรัฐเองเป็นผู้สร้างอุปสรรคต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการ

ซัด ปท.ไม่ใช่ที่ฝึกงานทหารเกษียณ

นายวัฒนาระบุอีกว่า ธุรกิจเอสเอ็มอี คือกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องเผชิญการขาดทุน เพราะประชาชนขาดกำลังซื้อ อันเนื่องจากผลงานของรัฐบาล ต่อมาต้องเจ็บตัวรอบสองเพราะคำสั่งล็อกดาวน์ประเทศและเคอร์ฟิว วันนี้กำลังจะเผชิญวิกฤติรอบสาม เพราะคำสั่งและมาตรการที่ขาดทั้งสติและปัญญา นอกจากเงินกู้ที่มีเงื่อนไข รัฐบาลคงลืมไปว่าหากพวกเขาไม่รอด จะมีคนอีกมากมายรวมถึงรัฐบาลจะไม่รอดด้วย ประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงานของทหารเกษียณ รัฐบาลควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่มาจาก ส.ว. และรัฐธรรมนูญที่เขียนกันเองแล้วโกง

“ชินวรณ์”อัดฝ่ายค้านเล่นการเมืองหลงยุค

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์และรองประธานวิปรัฐบาลกล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านยื่นเรื่องขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญว่า สังคมทราบโดยทั่วไปว่ามี พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยสามัญประจำปีแล้วในวันที่ 22 พ.ค.ฝ่ายค้านยึดติดกับการเมืองทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในขณะนี้ ควรไปทำหน้าที่ตรวจสอบและเตรียมข้อมูลไว้อภิปรายเมื่อเปิดสมัยประชุมทั้ง พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ และร่าง พ.ร.บ.งบฯประจำปี 64 การยื่นเรื่องให้เปิดประชุมสภาฯวิสามัญ เป็นเรื่องการเมืองชัดเจนมาก คนระดับรองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านมาพูดว่าทำไมนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ไม่เปิดวิสามัญทันที ทั้งที่ประธานสภาฯไม่สามารถเปิดประชุมวิสามัญได้ ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือพูดว่าตอนนี้มีความเดือดร้อนแต่รัฐบาลไม่เปิดสภาฯมาพูดคุย พูดอย่างนี้ฝ่ายค้านหลงยุคไปหรือเปล่ายุคสมัยนี้ต้องการให้ตัวแทนประชาชนทำบทบาทได้หลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องพูดในสภาฯเสมอไป หากฝ่ายค้านยังคิดว่าสภาฯเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนเกมการเมืองได้ ถือว่าฝ่ายค้านคิดผิดแล้ว

หนุนตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาฟื้นฟู “บินไทย”

นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการฟื้นฟูการบินไทยว่า หลายฝ่ายกังวลว่าการฟื้นฟูการบินไทยจะซ้ำรอยเดิม คือสูญเงินไปเปล่าๆ หรือจะทำให้การขาดทุนสะสมมากยิ่งขึ้นเพราะการบินไทยขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี ยกตัวอย่าง ปี 2562 ขาดทุน 12,017 ล้านบาท มาถึงปี 2563 ที่โควิด-19 แพร่ระบาดขาดทุนถึงเกือบ 60,000 ล้านบาท กรณีต้องหยุดบินถึงเดือน มิ.ย.63 นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ผู้รับผิดชอบ เห็นปัญหาจึงได้ตั้งกรรมการตรวจสอบปัญหาบริหารจัดการ ที่ทำให้การบินไทยขาดทุนโดยขอให้ ครม.อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องวงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาทเพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีนี้ ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมถึงจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่วนแผนฟื้นฟูการบินไทยระยะที่ 2 เพิ่มทุน 80,000 ล้านบาท และแผนการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่วงเงิน 100,000 ล้านบาท แต่แผนฟื้นฟูไม่ได้รับความไม่มั่นใจจากหลายฝ่าย แม้แต่นายกฯถึงกับกล่าวว่าการฟื้นฟูครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลต้องดำเนินการให้ เห็นด้วยกับการช่วยพยุงการบินไทย แต่ควรฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย

เชียร์ใช้ยาแรง ท้าตั้งมือปราบโกงสอบ

นายนริศกล่าวว่า หากพบว่าปัญหาใหญ่ที่ทำให้ขาดทุนเกิดจากการบริหารผิดพลาด ควรเฟ้นหามืออาชีพเข้ามาบริหาร หากเกิดจากการทุจริตให้ตั้งกรรมการ (บอร์ด) ที่การันตีความซื่อสัตย์สุจริต มีหลายท่านที่ได้รับความเชื่อถือจากทุกภาคส่วน เช่น นายนาม ยิ้มแย้ม นายวิชา มหาคุณ หรือหากจะตั้งกรรมการขึ้นมาหาข้อเท็จจริง ประเด็นการทุจริตต้องตั้งบุคคลระดับไม้บรรทัดเรียกพี่ อย่าง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ หรือ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง คนใดคนหนึ่งต้องอยู่ในกรรมการ หรือจะเป็นบุคคลภายนอก ถ้ากล้าพอลองตั้งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ นายวัชระ เพชรทอง หรือนายวีระ สมความคิด หรือให้ภาคประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบให้มากขึ้น ฟื้นฟูการบินไทยต้องใช้ยาแรง เชื่อว่าคณะกรรมาธิการของสภาฯทำเรื่องนี้ได้ดีหลายคณะ นอกเหนือจาก กมธ.คมนาคม ที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว หรือจะตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาเรื่องนี้เป็นการเฉพาะก็ไม่เลว เพื่อให้การบินไทยยังอยู่คู่ประเทศไทย โดยไม่ขาดทุน

รบ.ออกพันธบัตร–ตั๋วเงินกู้ 80/20

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทนั้น กำหนดสัดส่วนการกู้ในประเทศไว้ 80% และจากสถาบันการเงินต่างประเทศไว้ 20% เพื่อไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศขาดสภาพคล่องทางการเงิน อย่างไรก็ตามปัจจุบันเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มีการกู้ไปแล้ว 170,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การกู้จากธนาคารพาณิชย์ผ่านการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) วงเงิน 70,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี โดย BIBOR หรืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ อยู่ที่ +0.35 และตั๋วสัญญาใช้เงินอายุ 1 ปี วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดย BIBOR อยู่ที่ +0.25% และการออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ รุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” วงเงิน 50,000 ล้านบาท รวม 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.40% และรุ่นอายุ 10 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.00% ต่อปี เริ่มขายตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2563 โดยเงินกู้เหล่านี้จะนำมาจ่ายเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระและเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนละ 5,000 บาท

ปีงบฯ 63 กู้ 6 แสน ล. ปีงบฯ 64 อีก 4 แสน ล.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเสนอขอใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จะทยอยกู้ตามความจำเป็นของโครงการรัฐบาล โดยแผนการก่อหนี้แบ่งเป็นปีงบประมาณ 2563 กู้เงินจำนวน 600,000 ล้านบาท ส่วนปีงบ ประมาณ 2564 จะกู้เงินอีกจำนวน 400,000 ล้านบาท จะทำให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลจะมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 51.84% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ส่วนปี 2564 หากกู้เงินส่วนที่เหลือรวมกับแผนการก่อหนี้เดิมในปีงบประมาณ 2564 แล้ว จะมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 57.96% ของจีดีพี ซึ่งไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี ขณะที่การชำระหนี้เงินต้นนั้น ในกรอบวินัยการเงินการคลัง กำหนดให้ชำระไม่ต่ำกว่า 2.5-3.5% ของงบประมาณรายจ่าย โดยปีงบประมาณ 2564 สำนักงบประมาณจัดสรรงบฯให้ 3%ของงบ ประมาณรายจ่ายหรือประมาณ 99,000 ล้านบาท

“ศรีสุวรรณ” แฉอีกครุภัณฑ์ กฟผ.แพงลิ่ว

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า หลังจากที่สมาคม เปิดเผยข้อมูลจัดซื้อรถเข็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มูลค่า 152,956 บาท/คันและเครื่องตรวจจับแก๊สรั่ว มูลค่า 350,431 บาท ซึ่งมีราคาแพงกว่าปกติหลายเท่า อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของราคาค่าไฟฟ้าแพง ล่าสุดสมาคมยังพบการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบแก๊สที่ใช้ทดสอบคุณภาพแก๊ส SF6 : ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ในระบบไฟฟ้าแรงสูงว่าเสื่อมสภาพหรือไม่ จากประเทศจีนในราคาสูงถึงเครื่องละ 1,121,379 บาท เทียบกับเครื่องคุณลักษณะเดียวกันที่ขายในญี่ปุ่นราคาเพียงเครื่องละ 380,869 บาทเท่านั้น มีคุณภาพดีกว่า ราคาถูกกว่า แต่ กฟผ.กลับเลือกใช้เครื่องจากจีน เมื่อตรวจสอบราคามาตรฐานที่ซื้อขายในเว็บไซต์ Alibaba มีราคาเครื่องละ 6,600-13,100 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือ 2 แสนถึง 4 แสนบาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการจัดซื้อเครื่องวัดความชื้นแก๊สจากจีน ราคาเครื่องละ 630,775 บาท ขณะที่เครื่องดังกล่าวขายในญี่ปุ่นราคาเครื่องละ 291,252 บาท เมื่อตรวจสอบราคามาตรฐานที่ซื้อขายในเว็บไซต์ Alibaba มีราคาเครื่องละ 1,000-4,999 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 32,000-160,000 บาท

ส่ง สตง.ตรวจ 20 รายการมีหลักฐานสู้

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า ยังมีครุภัณฑ์ที่ กฟผ.จัดซื้อมาใช้ในสถานีไฟฟ้าต่างๆ เกือบ 20 รายการ ที่มีราคาแตกต่างจากราคามาตรฐานที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป เป็นข้อมูลที่สมาคมจัดส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบแล้ว กฟผ.ต้องตอบคำถาม สตง.และอธิบายสังคมว่า การจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ราคาแพงๆมาใช้ผลิตไฟฟ้าเป็นวัตถุประสงค์หลักขององค์กรหรือไม่ เมื่อซื้อมาแล้วทำให้ราคาค่าไฟที่ประชาชนต้องร่วมกันจ่ายนั้นถูกลงกว่าการซื้อของที่ราคาถูกกว่าหรือไม่ ขอฝากไปยังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยว่าหากจะแก้ข่าว เพื่อมาดิสเครดิตสมาคมว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน ควรไปถามคนใกล้ชิดผู้บริหารของ กฟผ.ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ สมาคมจะนำหลักฐานมาพิสูจน์เพิ่มกันให้เห็นแจ้งไปเลยว่าใครเฟกกันแน่

“วันชัย” กระทุ้งยกเครื่องปฏิรูปประเทศ

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงใหญ่มีผลกระทบต่อประเทศมหาศาลหลายด้าน ทุกอย่างในการบริหารประเทศต้องเปลี่ยนแปลงใหญ่ การปฏิรูปประเทศต้องยกเครื่องปรับเปลี่ยนรองรับต่อการขับเคลื่อนประเทศที่กำหนดไว้เป็นร้อยเรื่อง เลือกประเด็นสำคัญที่โดนใจประชาชนให้เห็นผล ทำทุกเรื่องคงไม่ทัน จะถูกโจมตีว่าแผนปฏิรูปเป็นแผนลวงโลก สักแต่ว่ามีแผน แต่ทำไม่ได้จริง คนที่ต้องรับผิดชอบคือรัฐบาลและวุฒิสภา ในฐานะต้องติดตาม เสนอแนะ เร่งรัดการปฏิรูป

ไฟลนก้น รบ.ทำแบบเดิมๆไม่รอดแน่

นายวันชัยกล่าวอีกว่า ทั้งรัฐบาล ส.ว.และข้าราชการต้องหันหน้าเข้าหากันปฏิรูปเป็นเรื่องเป็นราว ต้องปฏิรูปทุกกระทรวง ทบวง กรม เอาเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงานตัวเองไปเรียงลำดับจับประเด็นสำคัญที่ต้องปฏิรูปให้เป็นเรื่องเป็นราว คัดเลือกแผนปฏิรูปให้ชัด แล้ว ส.ว.ติดตามเสนอแนะ เร่งรัด ช่วยกันทั้ง 3 ส่วน ไม่ต้องทำถึงร้อยเรื่องพันกิจกรรมตามที่มีอยู่ในแผน เลิกเสียวิธีเก่าๆแบบเดิมๆ บ้านเมืองไฟลนก้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรุมเร้าไปหมด หากคิดแบบเดิม ทำแบบเดิมไปไม่รอดแน่

พท.ส่งสายตรงรักษาที่นั่ง ส.ส.ลำปาง

อีกเรื่อง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ความพร้อมการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 ลำปาง แทนนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เสียชีวิตเมื่อเย็นวันที่ 7 พ.ค. มีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจเสนอให้มีการเลือกตั้งวันที่ 20 มิ.ย.ว่า ในพื้นที่เขต 4 ลำปาง ตัวแทนของพรรคที่ลงสมัครมาโดยตลอดมาจากครอบครัวนายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเป็นนักการเมืองที่รับใช้ชาวลำปางมาอย่างยาวนาน สำหรับการเลือกตั้งซ่อมที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคยืนยันจะส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งแน่นอน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครตามข้อกฎหมายในเร็ววันนี้ แต่เรามั่นใจว่าที่ผ่านมาตัวแทนของตระกูลจันทรสุรินทร์ ดูแลพื้นที่อย่างดีโดยตลอด หากการเลือกตั้งครั้งนี้ทางตระกูลดังกล่าวเสนอใครมาให้คณะกรรมการสรรหา จะมีน้ำหนักและคิดว่าคงได้รับการสนับสนุนจากคณะ กรรมการของพรรค และประชาชนชาวลำปางคง ให้การตอบรับนักการเมืองจากตระกูลที่รับใช้มาโดยตลอด

“ชวนิต” ทิ้งนายก อบต.ลงสนามใหญ่

เมื่อถามว่ามั่นใจว่าตัวแทนพรรคเพื่อไทยจะสู้ผู้ท้าชิงจากฝ่ายรัฐบาลได้หรือไม่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วมั่นใจว่าตัวแทนพรรคเพื่อไทยจะเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับชาวลำปาง เพราะทำงานในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ในการเลือกตั้งซ่อมหวังว่าประชาชนจะให้โอกาส และเลือกตัวแทนของพรรคเพื่อไทยไปทำหน้าที่เช่นเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ที่จะลงสมัครเลือกตั้งซ่อมแทนนายอิทธิรัตน์ คาดว่าจะเป็นคนในตระกูลจันทรสุรินทร์ บุตรชายของนายพินิจเช่นเดิม โดยคาดว่าจะเป็นลูกชายคนโตคือ นายชวนิต จันทร-สุรินทร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาแส่ง อ.เกาะคา จ.ลำปาง

พปชร.รอเคาะคนชิงเจาะฐานคู่แข่ง

นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อและในฐานะนายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ส.ส.เขต 4 จ.ลำปาง แทนนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ที่เสียชีวิตว่า พรรคส่งลงสมัครเลือกตั้งซ่อมแน่นอน เริ่มมีการพูดคุยกันบ้างแล้ว จะรีบสรรหาให้เร็วที่สุด เพราะมีรายงานข่าวจาก กกต.คาดกำหนดให้มีการเลือกตั้งได้วันที่ 20 มิ.ย. เปิดรับสมัครในช่วงวันที่ 22-26 พ.ค.คาดสัปดาห์หน้าได้ข้อสรุป โดยต้องให้หัวหน้ายุทธศาสตร์ภาคเหนือ ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าพิจารณาสรรหาเสนอพรรค แน่นอนว่านายวัฒนา สิทธิวัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ลำปาง ที่มาอันดับ 2 เป็นตัวเลือกหนึ่ง การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 เขตนี้ นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 42,984 คะแนน อันดับ 2 นายวัฒนา สิทธิวัง พรรคพลังประชารัฐ 30,368 คะแนน และอันดับ 3 น.ส.พิมดารา ศิริสลุง พรรคอนาคตใหม่ 26,471 คะแนน

“ธนกร” ยัน พปชร.ขัดแย้งจบแล้ว

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เรียกนายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพรรคพลังประชารัฐ เข้าพบเมื่อวันที่ 5 พ.ค. โดยนายอุตตมระบุ เพื่อหารือมาตรการเยียวยาประชาชนจากโควิด-19 และได้ให้กำลังใจชี้แนะเรื่องพรรคน่าจะเรียบร้อยได้ด้วยการหารือกัน งานที่ทำอยู่ทั้งในรัฐบาลและพรรคให้ทำต่อไป ซึ่งนายอุตตมยืนยันกับตนทุกอย่างเป็นไปตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไป ต้องเชื่อคำพูดของนายอุตตมเพราะเป็นคนไปนั่งหารือนายกฯ นายอุตตมเป็นคนชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ แต่เป็นนักการเมืองด้วยจิตวิญญาณแห่งการรับใช้ประชาชน เป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง น่าเชื่อถือ มุ่งทำงานอย่างหนักเคียงข้างนายกฯช่วยเหลือประชาชน จริงๆแล้วเรื่องนี้จบไปหลายวันแล้ว คำพูดที่นายอุตตมพูดก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องแปลอะไรอีก เพราะท่านนายกฯให้กำลังใจและบอกว่า อะไรที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ให้ทำต่อไป ทั้งเรื่องในรัฐบาลและเรื่องในพรรค เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงจบแล้ว

ไม่มีใครโกหกเข้าใจคลาดเคลื่อนเอง

นายธนกรกล่าวว่า ส่วนการให้สัมภาษณ์ของนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หากฟังให้ดีนางนฤมลระบุเพียงว่า นายกฯสอบถามการเยียวยาของกระทรวงการคลัง และการปรับลดค่าไฟฟ้า เพื่อลดภาระประชาชนช่วงโควิด-19 จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในพรรคพลังประชารัฐ จึงเห็นได้ว่าไม่มีคำพูดไหนเลยที่นางนฤมลระบุว่าไม่ได้มีหารือกันเรื่องการเมือง จึงเข้าใจคลาดเคลื่อนมากกว่าพูดไม่ตรงกัน หรือว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโกหกเมื่อนายกฯชี้แนะเรื่องพรรคน่าจะเรียบร้อยได้ด้วยการหารือกันอย่างใกล้ชิดนั้น เชื่อว่าปัญหาความสับสนเรื่องการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ก็คงยุติลงได้แล้ว เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคเองปรึกษาหารือกันเป็นระยะๆอยู่แล้ว

“บิ๊กแดง” จัดทัพ 211 ผู้พันฯ ทภ.1

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงกลาโหมว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพบกที่ 196 / 2563 เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับระดับเงินเดือน ลงวันที่ 8 พ.ค.2563 จำนวน 211 นาย โดยจัดแถวนายทหารระดับผู้บังคับกองพันลอตใหญ่ ในส่วนกำลังรบหลักของกองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะในกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือหน่วยทหารเสือราชินี หน่วยต้นกำเนิดของพี่น้อง 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มีการขยับ พ.อ.พิเชียรรัฐ ภารัญนิตย์ หรือ เสธ.นัท ลูกชายของ พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์ หรือ “บิ๊กฮวบ” อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. ดาวรุ่งในสายทหารเสือราชินี ขยับจาก เสธ. ร.21 ขึ้นเป็นรอง ผบ.ร.21 รอ. แทน พ.อ.เอกดนัย จุลโลบล หรือ “รองอ้วน” รองผู้การ ร.21 รอ. นายทหารที่โดดเด่นใน ร.21 รอ. ออกจากสายกำลังรบไปเป็นฝ่ายอำนวยการนั่งตำแหน่งรอง ผอ.กองยุทธการกองทัพน้อยที่ 1 ขณะที่ พ.ท.ณัฐวุฒิ สมพรหม ผบ.ร.21 พัน.3 รอ. ขยับเป็น เสธ.ร.21 รอ. พ.ท.จารุวัฒน์ ญาติ หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน พล.1 รอ. เป็น ผบ.ร.21 พัน. 3 รอ.

กองพลบูรพาพยัคฆ์ขยับตามสาย

ส่วนกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือที่เรียกว่ากองพลบูรพาพยัคฆ์ พ.ท.ปรีต์มนต์ ผ่องใส เป็น ผบ.ร.12 พัน.1 รอ. พ.ท.นฤพล วิจิตรโท รอง เสธ.ร.2 รอ. เป็น ผบ.ร. 2 พัน.1 รอ. พ.อ.พรพิสุค์ บุญรอด ผบ.ร.12 พัน.3 รอ. เป็น เสธ.ร.12 รอ. พ.ท.สุวิทย์ วิจิตรกาญจน์ ผบ.ร.12 พัน.2 รอ. เป็น ผบ.ร.12 พัน.3 รอ.พ.ท.ธนา สุรโชติ รอง ผบ.ร.12 พัน.3 รอ. เป็น ผบ.ร.12 พัน.2 รอ. พ.ท.สมภพ พงษ์คีรี รอง เสธ.ร.12 รอ. เป็น รอง ผบ.ร.12 พัน.3 รอ. ขณะที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พ.ท.รัชชพงษ์ รัตนบัญญัติ เป็น ผบ.ร.31 พัน.1 รอ. ส่วนกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พ.ท.เดชาธร สายหยุด ผบ.ม.4 พัน.11 รอ. เป็น เสธ.ม.4 รอ. พ.ท.กฤษฎา พงศ์เลิศ-โกศล รอง เสธ.ม.1 รอ. เป็น ผบ.ม.4 พัน.11 รอ. พ.ท.เอกราช กล้วยเครือ หัวหน้าฝ่ายกรรมวิธีข้อมูล พล.ม.2 รอ. เป็น ผบ.ม.5 พัน.24 รอ.

“ผู้พันโอม” อดีต ทส.ตู่ขึ้นรอง เสธ.พล.ร.11

ขณะที่กองพลทหารราบที่ 9 พ.ท.ประจักษ์ บุปผาพันธุ์ ผบ.ร.9 พัน.1 เป็น ผบ.กรมทหารพราน 11 พ.ท.นัฐที ปรารถนาดี รอง ผบ.พัน.ร.มทบ.11 เป็น ผบ.ร.9 พัน.1 พ.ท.ปุณศิริ แพร่ธนาเรือง หัวหน้า รร.จปร. มาเป็น รอง ผบ.พัน.ร.มทบ.11 พ.ท.เพรียว เลี้ยงชีพชอบ ผบ.ร.9 พัน.2 เป็น เสธ.ร.29 พ.ท.กวินทร์ณัช เกิดสุข หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน พล.ร.9 เป็น ผบ.ร.9 พัน.2 พ.ท.สโรช สุขศิริ เป็น ผบ.ร.9 พัน.3 พ.ท.กิตินันท์ รัสมี เป็น ผบ.ส.พัน.9 พล.ร.9 ด้านกองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) หรือกองพลสไตรเกอร์ พ.ท.รณรงค์ เส็งมี ผบ.ร.111 พัน.2 เป็น ผบ.กรมทหารพราน 13 พ.ท.ธนฤทธิ์ แสนจุ้ม หัวหน้าส่วนการศึกษา รร.จปร. เป็น ผบ.ร.111 พัน.2 พ.อ.อัครพัฒน์ เทพณรงค์ หรือผู้พันโอม เสธ.ร.112 นายทหารคนสนิท พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น รอง เสธ.พล.ร.11 พ.ท.อัมพล ศรีนา อาจารย์ ร.ร. เสธ.ทบ. นายทหารอีสาน โตมาจากชายแดนเขาพระวิหาร เป็น ผบ.ร.112 พัน.2 พ.ท.จักรกริศน์ ธุระพันธ์ รอง เสธ.ร.111 เป็น ผบ.ร.111 พัน.1 พ.ท.สรรพสิทธิ์ กูลประสิทธิ์ หัวหน้าสรรพาวุธ ทบ.เป็น ผบ.พัน.ซ่อมบำรุง กรม สนับสนุน พล.ร.11

ทภ. 2 ปรับใหม่หลังเหตุจ่าคลั่งโคราช

ในกองทัพภาค 2 ถูกมองว่าเป็นผลพวงจากเหตุกราดยิงโคราช พล.อ.อภิรัชต์ขยับตำแหน่งผู้พันหน่วยหลักใหม่ ตั้ง พ.อ.ชัยรัตน์ หยกสุริยันต์ เป็น ผบ.กองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 (ผบ.พัน.สพ.กระสุน 22) กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) คนใหม่แทน พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส อดีต ผบ.พัน.สพ.กระสุน 22 ที่ถูก จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ยิงเสียชีวิตที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. พ.ท.กัญญานัต ไชยโอชะ หัวหน้าฝ่ายข่าว พล.ร.3 เป็น ผบ.ร.8 พัน.1 แทน พ.ท.พิเชษฐ์ ดาศรี ผช.ฝ่ายยุทธการ ทัพภาค 2 เป็น ผบ.ม.7 พัน.14 พ.ท.ปรัชญา หล้าวิเศษ เป็น ผบ.ร.6 พัน.1 พ.ท.เกรียงเดช ปัญจกนกกุล ผบ.ร.16 พัน.2 พ.ท.พงษ์พัฒน์ เตือนขุนทด เป็น ผบ.ร.23 พัน.3 พ.ท.เจตนิพิฐ สมบูรณ์วัฒนา ผบ.ร.6 พัน.2

ปรับเปลี่ยนพรึบผู้พันภาคเหนือ-ใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังได้ปรับเปลี่ยนผู้พันฯ ภาคเหนือและใต้หลายตำแหน่ง ได้แก่ พ.ท.ชาตินักรบ พรศิริรัตน์ เป็น ผบ.กรม ทพ.ที่ 32 พ.ท.จักรพงษ์ เทพพันธุ์ เป็น ผบ.ร.4 พัน.3 พ.ท.สมภพ ใจบุญ เป็น ผบ.ร.14 พัน.2 พ.ท.ภูเบศ มาแก้ว เป็น ผบ.ม.พัน.12 พล.ม.1 พ.ท.ธวัฒน์ อินกอง ผบ.ม.พัน.28 พล.ม.1 พ.ท.ณัฐพล ณีวัง ผบ.ร.17 พัน.3 พ.อ.ธานี เกียรติสาร เป็น ผบ.กรม.ทพ.44 พ.อ.ภาคิน เกื้อกูล เป็น ผบ.ร.25 พัน.2 พ.ท.กฤตณ์พัทธ์ กรกัน เป็น ผบ.ร.151 พัน.2 พ.อ.นราธิป จอง เป็น ผบ.พัน.สพ.กระสุน 24 บชร.4 พ.ท.นพดล พรหมมาก เป็น ผบ.ร.153 พัน.3 พ.ท.ปัญจพล ทรัพย์บวร เป็น ผบ.ม.พัน.31 พล.ร.15 พ.ท.พัศวีร์ โปชะดา เป็น ผบ.ร.152 พัน.2 พ.อ.โกเมธ รัตนผ่องใส ผบ.กรม. ทพ.47 พ.ท.ธนพล นุ้ยสุข ผบ.ร.15 พัน.1 พ.ท.จตุพร ธานีพัฒน์ เป็น ผบ.ร.5 พัน.1 พ.ท.ชาญฤทธิ์ ฮันสราช เป็น ผบ.ร.151 พัน.3