บิ๊กป้อมสั่งเอง ทางบ.ซิโนไทย มีหน้า-มาฟ้อง ขอค่าเสียหาย! ก่อสร้างรัฐสภา
“บิ๊กป้อม” เหยียบเบรกศึกใน พปชร. ประกาศชัดไม่เปลี่ยนตัว หัวหน้า-เลขาฯ ปัญหาจบแล้ว ยกหูสั่งการเองให้สงบศึกไปก่อนหลังหยั่งเสียงภายในไม่เข้าเป้า “สมคิด-สุริยะ-สนธิรัตน์-ผู้กองนัส” ถกเครียด ยังไม่วางใจ “สุวิทย์” ตอกแรง อยู่ที่สามัญสำนึก ไม่ใช่เวลามาเล่นเกมกัน ลั่นถ้านายกฯส่งซิกก็พร้อมสละเก้าอี้ทุกเมื่อ “เสี่ยแฮงค์” ปฏิเสธชัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง “เสธ.อ้น” มีหนาว “เรืองไกร” จ่อร้อง กกต.ฐานจุ้นจ้านการเมือง อาจลามถึงยุบ พปชร. สภาฯจ่อจับตรวจ ส.ส.ทุกคนกันแพร่โควิด ซิโน-ไทย ตลบหลังยื่นศาลปกครองฟ้องสภาฯเรียกค่าเสียหาย 1,590 ล. เลขาสภาฯสั่งตั้งทีมอัยการสู้คดี เผยขยายเวลา 4 ครั้ง 7 ปียังสร้างไม่เสร็จ ป.ป.ช.เรียก “เอ๋” ให้ข้อมูลรุกป่าเพิ่ม
จากกระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ มีการเดินเกมกดดันให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคนั้น ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรคฯ ออกมาประกาศยืนยันว่าความวุ่นวายดังกล่าวจบแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าฯ และเลขาธิการพรรคฯ
“บิ๊กป้อม” แตะเบรกศึกใน พปชร.
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 29 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์เพียงสั้นๆถึงปัญหาความวุ่นวายภายในพรรค พปชร.ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันรึยัง ว่า “อะไร ไม่มีอะไรๆ” เมื่อถามว่าปัญหาจบแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบตัดบทว่า “จบแล้วๆ” เมื่อถามย้ำว่าจะไม่มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคแล้วใช่หรือไม่รองนายกฯตอบว่า “ไม่มีๆ” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมจึงมีคนอยากให้ท่านเป็นหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตรปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าวพร้อมเดินเลี่ยงไปทันที
...
ยกหูสั่งการเองให้สงบศึกไปก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ประกาศชัดว่าความวุ่นวายใน พปชร. หรือปมการเมืองในช่วงนี้ไม่สำคัญ ต้องมุ่งแก้ปัญหาโควิด-19 ก่อน และอำนาจการตัดสินใจปรับ ครม.เป็นของนายกฯคนเดียวนั้น ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ดับกระแสว่าทุกอย่างจบแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค พร้อมกันนี้ยังโทรศัพท์ไปยังกลุ่มที่สนับสนุน อาทิ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.พรรค ที่กำลังเคลื่อนไหวล็อบบี้ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่ง เพื่อเลือกกันใหม่ ปรากฏว่ามีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง จึงให้ยุติการให้ข่าวเรื่องการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารฯและเรื่องปรับ ครม. อย่าไปให้ข่าวหรือตอบโต้ต่อสู้กัน หลังถูกมองว่ามีความแตกแยกในพรรค ขณะที่รัฐบาลกำลังแก้วิกฤติโควิด-19
“สมคิด–สุริยะ–ผู้กองนัส” ถกเครียด
วันเดียวกันเวลา 08.45 น. ที่กระทรวงอุตสาหกรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พร้อมนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำพรรค หารือร่วมกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม รองหัวหน้าพรรค โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง มีรายงานข่าวว่ามีการพูดคุยเพื่อกำหนดท่าทีหลังจากนี้ แม้แผนของอีกฝั่งที่พยายามล็อบบี้กรรมการบริหารพรรคลาออกไม่ได้ผล แต่เชื่อว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ รวมถึงประเมินเสียงทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้
“สุวิทย์” ตอกแรงอยู่ที่สามัญสำนึก
ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่จะถูกปรับออกว่า เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่วันนี้ต้องช่วยกันทำงานช่วยเหลือประชาชนในวิกฤติโควิด-19 ก่อน การมานั่งเล่นเกมการเมืองระหว่างที่เราเผชิญภาวะวิกฤติคิดว่าไม่เหมาะสม แต่หลังวิกฤติค่อยมาว่ากันอีกที เมื่อถามว่าถือเป็นปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า เป็นธรรมชาติ เพียงแต่เป็นเรื่องของสามัญสำนึกว่าวันนี้ชั่วโมงนี้ มันควรมุ่งเน้นเรื่องใดก่อนหลัง คิดว่าภารกิจสำคัญช่วงเวลานี้คือโควิด-19 ขณะนี้ควบคุมได้ดีขึ้นแล้ว ที่เหลือคือเรื่องเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของประชาชน
ถ้านายกฯส่งซิกก็พร้อมสละเก้าอี้
“เวลานี้จะมานั่งคุยเรื่องการเมือง จึงไม่เหมาะสม และนายกรัฐมนตรีก็พูดชัดเจนว่าชั่วโมงนี้ไม่พูดเรื่องการเมือง และคนที่จะตัดสินเรื่องปรับ ครม.ก็คือนายกฯคนเดียว ผมส่วนใหญ่ทำงานไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับพรรค ไม่คิดว่าจะมีเรื่องปรับ ครม.ในช่วงนี้ เราไม่ได้ทำงานเพื่อพรรคอย่างเดียว เราต้องทำงานเพื่อประชาชน เพื่อประเทศ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ภารกิจของเราจบ หรือจุดหนึ่งที่นายกฯบอกว่าน่าจะมีคนที่เหมาะสมกว่ามาทำงานต่อจากผม ก็ยินดีอยู่แล้ว ผมพร้อมทุกวันที่จะไปอยู่แล้ว เรามาทำงาน ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ส่วนชื่อคนที่จะมาแทนมีความเหมาะสมหรือไม่นั้น อยู่ที่ประชาชน และประชาคมมหาวิทยาลัยจะให้การยอมรับหรือไม่” นายสุวิทย์กล่าว
“เสี่ยแฮงค์” ยันไม่มีเอี่ยวกดดัน
นายอนุชา นาคาศัย รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายดังกล่าว ทราบข่าวยังรู้สึกตกใจ เวลานี้ไม่ควรมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง และยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องปรับ ครม. ทุกคนควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ร่วมกับรัฐบาล หลังจากสถานการณ์ต่างๆคลี่คลาย ค่อยมาว่ากัน เวลานี้ไม่ใช่เวลาของการเมือง ส่วนข่าวว่าหากมีการปรับ ครม.จะไปนั่งตำแหน่ง รมว. ศึกษาธิการ ไม่เป็นความจริง ไม่มีการต่อรองกับใครในช่วงเวลานี้ทั้งนั้น ไม่ทราบว่าข่าวดังกล่าวมาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อะไร กับนายอุตตมยังไม่ได้คุยกัน แต่เห็นใจ มองว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ได้ ขอให้เป็นคนที่รักพรรคจริง ทุ่มเทให้กับพรรค ทำพรรคให้เดินไปข้างหน้า ทำให้พรรคเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในระยะยาว ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ส่วนไลน์กลุ่มพรรคที่หลุดออกมายอมรับมีผลต่อภาพลักษณ์ของพรรค
“เสธ.อ้น” มีหนาวอาจลามยุบ พปชร.
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวกรณีมีชื่อ “เสธ.อ้น” หรือ พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ส.ว. ที่ถูกระบุเป็นคนเดินเกมเคลื่อนไหวให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแทนนายอุตตม สาวนายน ว่า รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนให้ ส.ว.วางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่หรืออยู่ภายใต้พรรคการเมืองใด ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาตลอดเตรียมจะรวบรวมข้อมูลบทสัมภาษณ์ของ พล.อ.กนิษฐ์ที่ยอมรับว่าเข้ามาช่วยงานการเมือง พล.อ.ประวิตร เพื่อยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ทั้งนี้ พล.อ.กนิษฐ์ได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตอนมียศเป็น พล.ท. พอเป็น พล.อ.ได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.ชุดปัจจุบัน กรณีที่พรรคการเมืองใดยอมให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคเข้าไปเกี่ยวข้อง อาจทำให้พรรคการเมืองนั้นทำผิดกฎหมายด้วย ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้ ขอเวลารวบรวมหลักฐาน 2 วัน จากนั้นจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ส่วนจะถึงขั้นขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ว.พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กกต. แต่คนเป็น ส.ว.ต้องรู้กฎหมาย จะอ้างไม่รู้กฎหมายไม่ได้ สิ่งที่ พล.อ.กนิษฐ์ยอมรับว่าเคยทำงานให้ พล.อ.ประวิตรสมัยที่รับราชการ และเมื่อ พล.อ.ประวิตรเข้ามาทำงานการเมืองต้องตามมาทำงานด้วยนั้น ถือว่าเป็นคนละสถานะแล้ว กฎหมายชี้ชัดว่า ส.ว.ห้ามฝักใฝ่ใดๆในทางการเมือง และต้องเป็นกลางทางการเมืองด้วย
บี้เปิดข้อเสนอแนะของ 20 เจ้าสัว
นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า ได้ส่งหนังสือไปถึงนายกฯขอให้เปิดเผยข้อมูลจดหมายที่ส่งไปถึง 20 มหาเศรษฐีนั้น ส่งไปถึงใครบ้าง และแต่ละรายตอบกลับมามีเนื้อหาอย่างไร เพราะนายกฯระบุว่ามีทยอยส่งจดหมายตอบมาแล้ว และย้ำว่าไม่มีใครให้เงินรัฐบาล มีแต่ระบุจะดูแลคนในบริษัทตัวเองอย่างไร และเสนอแนะเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้ทั่วถึง คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ยังขาดรายละเอียด ไม่สอดคล้องกับเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกที่สาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นเรื่องวิกฤติโควิด-19 แต่เนื้อความที่ตอบกลับมากลับเป็นเรื่องบริหารจัดการน้ำ คล้ายกับสำนวน “ไปไหนมาสามวาสองศอก” ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบการทำงานขอให้นายกฯเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 59
“วิเชียร” รีบแจงไม่มีใครครอบงำ
นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ปรากฏชื่อ พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา หรือ เสธ.อ้น ส.ว. เข้ามาเกี่ยวข้องและแสดงความเห็นต่อปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพรรค ว่า ยืนยัน พล.อ.กนิษฐ์ไม่ได้มีบทบาทอะไรภายในพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรค ต้องขอยืนยันให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ถูกนำไปกล่าวหาว่ามีบุคคลภายนอกมาครอบงำพรรค
“ชวน” กำชับสภาห้ามการ์ดตก
ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 11.00 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงมาตรการรองรับการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ วันที่ 22 พ.ค. โดยจะมีกระแสข่าวว่าจะขอให้กรมควบคุมโรคมาตรวจร่างกาย ส.ส. ก่อนเปิดสมัยประชุม ว่าต้องรอความพร้อมของสถานที่ก่อน ส่วนผู้มาประชุมต้องตรวจวัดอุณหภูมิ ใครมีอุณหภูมิเกินกว่าแพทย์กำหนด จะไม่ให้เข้าประชุม ก่อนถึงวันเปิดประชุมสภาจะเชิญทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่สภาฯ ตัวแทนพรรคการเมือง มาหารือทำความเข้าใจเรื่องสุขภาพ ระหว่างสมัยการประชุม 120 วัน ให้เป็นไปด้วยดี เชื่อว่า ส.ส.จะอภิปรายกันเยอะ จึงต้องย้ำเรื่องความปลอดภัยสูงสุด วันนี้ยังโชคดีเจ้าหน้าที่รัฐสภาเกือบ 3,000 คน ยังไม่มีข่าวว่ามีใครติดเชื้อ แต่ไม่รู้ว่าจะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ขอเตือนว่าให้ดูแลกันเข้มอย่าประมาท หรือปล่อยปละละเลย
จ่อจับตรวจ ส.ส.ทุกคนกันแพร่เชื้อ
นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ขณะนี้สภาฯมีความพร้อม 99 เปอร์เซ็นต์ โดยวันที่ 5 พ.ค.จะทดสอบความพร้อมที่เหลืออีก 1 เปอร์เซ็นต์ คือระบบเสียงในห้องประชุม เป็นการทดสอบเสมือนจริง โดยนำข้าราชการไปนั่งในห้อง ประชุม จัดที่นั่งเว้นระยะห่างเหมือนวันประชุมจริง เพื่อดูว่าที่นั่งเพียงพอหรือไม่ พร้อมทดสอบระบบเสียงไปด้วย จากการทดสอบ 2 ครั้งที่ผ่านมา ยังไม่น่าพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีเสียงสะท้อนอยู่ พร้อมกับประสานไปยังกรมควบคุมโรค และกรมควบคุมมลพิษ ให้เข้า มาร่วมตรวจสอบความพร้อมของห้องประชุมสุริยันที่จะใช้ประชุมสภาฯด้วย เพื่อขอคำแนะนำการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจต้องตรวจ ส.ส.ทุกคนก่อน แต่ต้องสอบถามความสมัครใจ ส.ส.ทุกคนด้วยว่า จะยินดีเข้ารับการตรวจหรือไม่ อย่างไรก็ตามได้ ประสานโรงพยาบาลบ้านแพ้วให้เข้ามาฉีดยาป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ แก่ ส.ส. และบุคลากรรัฐสภา ยืนยันสภาวางมาตรการไว้เต็มที่ เมื่อ ส.ส.ลงจากรถจะถูกตรวจกลั่นกรองหาเชื้อทันทีก่อนขึ้นลิฟต์ ใครจะเข้าสภาฯต้องใส่หน้ากากอนามัย ขณะที่การใช้บริการห้องอาหารของ ส.ส. ต้องจัดคิวจะไม่ให้เข้าไปครั้งละ 200-300 คน
“เจ๊หน่อย” ย้ำเคลียร์เงินกู้ให้ชัดๆ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการกู้สูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมให้เป็นการตีเช็ค เปล่าให้รัฐบาลไปใช้อย่างไร้ประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ต้องใช้เยียวยาความเดือดร้อนประชาชน ลดความเสียหายทางธุรกิจฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหาย และลงทุนเพื่อธุรกิจสำหรับอนาคต รับการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจที่จะเป็นนิวนอร์มอล เพื่อพลิกวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้คนไทยให้ได้ โดยเฉพาะ โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข ขอเสนอให้รัฐบาลดำเนินการและชี้แจงข้อมูลต่างๆให้ประชาชนรับทราบอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการปรับเกลี่ยงบประมาณปี 63 และงบฯปี 64 รัฐบาลดึงเงินกลับมาได้เท่าไหร่ และสามารถนำมาชดเชยเพื่อปรับลดวงเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทได้จำนวนเท่าไหร่ ขอให้รัฐบาลแสดงวิสัยทัศน์พร้อมทั้งรายละเอียดว่าจะใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลนี้เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างคุ้มค่ามากที่สุดอย่างไร พร้อมทั้งรายงานการดำเนินงาน การใช้เงินกู้ให้รับทราบทุก 3 เดือน รัฐบาลต้องเปิดประชุมสภาวิสามัญทันทีที่ข้อกำหนดทางสาธารณสุขเอื้ออำนวย
“อนุดิษฐ์” สงสัยอยากได้อำนาจแฝง
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือนนั้น ถูกสังคมตั้งคำถามว่ารัฐบาลอยากได้อำนาจอื่นที่ไม่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาโควิดมาใช้ด้วยใช่หรือไม่ พรรคเพื่อไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ รัฐบาลจะใช้อำนาจอย่างตรงไปตรงมา เพื่อรับมือกับภาวะฉุกเฉินอย่างสมดุล และเหมาะสมควบคู่ไปกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม ภายใต้วัตถุประสงค์และเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก
“องอาจ” จี้เจาะกลุ่มหาเช้ากินค่ำ
ขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนของ ส.ส.พรรค พบว่ายังมีกลุ่มคนไม่มีรายได้ ไม่มีการจ้างงาน เช่าห้องพักราคาถูกอยู่รวมกันหลายคน ไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลใดของรัฐที่จะได้รับการเยียวยา 5,000 บาท คนเหล่านี้อยู่ได้ด้วย ข้าวกล่อง ถุงยังชีพที่ผู้มีจิตศรัทธามามอบให้แต่ก็ไม่ได้ทุกวัน ถ้าโควิด-19 ยังแพร่ระบาดยังไม่สามารถใช้ชีวิตทำมาหากินหาเช้ากินค่ำได้ตามปกติ คนกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตที่ลำบากมากขึ้น ขอเสนอให้รัฐบาลมีมาตรการเชิงรุกเจาะช่วยเหลือถึงกลุ่มนี้โดยตรงใน กทม. ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.สั่งการให้ ผอ. เขตระดมเจ้าหน้าที่ทำงานเชิงรุก จัดหาอาหารให้พอประทังชีวิตไปได้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ส่วนในต่างจังหวัดให้ใช้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล อบต.เข้าไปสำรวจตรวจสอบช่วยเหลือจะบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มคนที่ยากลำบากที่สุดได้อย่างแน่นอน
ย้ำต้องแจกห้าพันรายครัวเรือน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลเลือกใช้วิธีเยียวยาเป็นรายครัวเรือนตั้งแต่แรก โดยตัดครัวเรือนที่เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีออกไป จะเหลือครัวเรือนที่ต้องเยียวยาจริงประมาณ 10 ล้านครัวเรือน จะสามารถเพิ่มยอดเงินเยียวยาได้ครัวเรือนละ 10,000 บาทต่อเดือน โดยใช้งบฯที่ใกล้เคียงกัน และแก้ปัญหาเยียวยาได้ทันเวลาไม่เกิน 10 วัน ครอบคลุมถึงทุกคนทุกสาขาอาชีพเท่าเทียมกัน จะไม่เกิดปัญหาการประท้วงการฆ่าตัวตายแน่นอน ส่วนการทบทวนสิทธิเงินเยียวยา เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สิทธิของรัฐควรใช้กลไกกระทรวงมหาดไทย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้ลงทะเบียนสามารถยืนยันข้อมูลความเดือดร้อน และตรวจสอบความถูกต้องตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ดีกว่าใช้เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น
ท้วงคนกรีดยางยังตกสำรวจอยู่
นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ยังมีคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล คือคนรับจ้างกรีดยาง แม้นโยบายประกันรายได้ชาวสวนยางของพรรคประชาธิปัตย์จะบังคับให้เจ้าของสวนยางจ่ายเงินให้คนรับจ้างกรีดยางร้อยละ 40 แต่ความจริงเจ้าของสวนยางมักไม่ให้ พอมีมาตรการเยียวยาเกษตรกร 15,000 บาท แม้กระทรวงเกษตรฯจะเสนอรายชื่อคนรับจ้างกรีดยาง ตามบัญชีของการยางแห่งประเทศไทย แต่รัฐบาลเลือกเอารายชื่อหรือข้อมูลจากสมุดเขียวกรมส่งเสริมฯปศุสัตว์ และประมง ทำให้ไม่ครอบคลุมคนรับจ้างกรีดยาง แม้จะเปิดให้ขึ้นทะเบียนใหม่แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้ เพราะไม่มีที่ดินทำกิน
“ศาสตรา” ส่งตรงถึงกลุ่มผู้ยากไร้
นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นำสิ่งของจำเป็นไปแจกจ่ายประชาชนว่า สงขลาถือเป็นเมืองหน้าด่าน จากการลงพื้นที่ทุกวันเพื่อรับฟังปัญหาผู้ที่กำลังยากลำบาก และได้รับผลกระทบโดยตรง พบว่าบางคนไม่สามารถเข้าถึงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท บางส่วนเป็นผู้พิการ เป็นคนตกงาน จึงจัดทำโครงการ “หนึ่งหมื่นแปดพันถุงยังชีพ ถึงหน้าบ้านหนึ่งหมื่นแปดพันครัวเรือน” เป็นการเปิดรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป และนำสิ่งของมารวบรวมไว้ในฟู้ดแบงก์ หรือธนาคารอาหาร ก่อนแบ่งประเภท และให้จิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมแพ็กสิ่งของก่อนนำส่งมอบให้กับผู้ยากไร้ วางระบบขนส่งเป็นดีลิเวอรีให้จิตอาสาชื่อว่ากลุ่ม “แว้นๆ ไบค์” รับของไปส่งถึงหน้าบ้าน เพื่อความรวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ที่สำคัญยังเพิ่มความปลอดภัยเพราะประชาชนไม่ต้องไปต่อคิว ตามนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคมสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ระดับหนึ่ง
ซิโน–ไทยฟ้องสภาฯเรียก 1,590 ล.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา นายชัชชัย ยอดมาลัย ตุลาการศาลปกครอง ได้ลงนามในหนังสือสำนักงานศาลปกครองกลางถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ทราบถึง คำฟ้องที่บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 1,590 ล้านบาท จากการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย โดยให้เลขาธิการสภาฯในฐานะผู้ถูกฟ้องคัดสำเนาพยานหลักฐานประกอบคำฟ้องจำนวน 70,694 แผ่น ภายใน 60วัน นับจากวันที่สำนักงานเลขาธิการสภาฯลงเลขรับคำสั่งจากศาลปกครองรับคำสั่ง คือวันที่ 22 เม.ย.2563 หากผู้ถูกฟ้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายในเวลาที่กำหนด ถือว่าผู้ถูกฟ้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้อหาของผู้ฟ้องคดี
เลขาสภาฯสั่งตั้งทีมอัยการสู้คดี
ขณะที่นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ไปดูแลร่างแก้ไขคำฟ้อง และเตรียมตั้งอัยการดูแลเรื่องการฟ้องร้องให้สำนักงานฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการสภาฯ ปลายปี 2559 บริษัทซิโน-ไทยฯ ได้ทำหนังสือยื่นสงวนสิทธิการฟ้อง ยืนยันว่าจะฟ้อง เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าในส่วนของโรงเรียนโยธินบูรณะ และชุมชนโรงงานทอผ้า ทำให้ผิดนัดการส่งมอบพื้นที่รวม 4 ครั้ง เรื่องนี้ซิโน-ไทยฯสงวนสิทธิ การฟ้องมา ไม่ใช่จู่ๆจะฟ้องกัน ส่วนที่มีการต่อสัญญาให้บริษัทผู้รับจ้างในการก่อสร้างเพื่อชดเชยเวลาที่สำนักงานเลขาธิการสภาฯเป็นฝ่ายผิดนัดการส่งมอบพื้นที่ล่าช้านั้น ต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา รวมถึงการขยายสัญญาก่อสร้างที่คำนวณวันที่สภาฯส่งมอบพื้นที่ล่าช้าเข้าไปแล้วด้วย เชื่อว่าการฟ้องร้องดังกล่าวต่อศาลปกครองจะไม่กระทบต่อการก่อสร้าง ที่ผ่านมาสำนักงานเลขาธิการสภาฯเร่งรัดงานต่อเนื่อง การฟ้องร้องก็ให้ฟ้องไป แต่งานก่อสร้างต้องทำให้เสร็จตามเวลา คือภายในสิ้นปี 2563 นี้ ขณะนี้ทราบว่าคนงานก่อสร้างในพื้นที่ลดจำนวนลง ซึ่งบริษัทผู้รับจ้างยอมรับว่าหาผู้ใช้แรงงานเพื่อก่อสร้างยากมาก
เผยขยายเวลา 4 ครั้ง 7 ปียังไม่เสร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงิน 12,000 ล้านบาทนั้น ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2556 มีกำหนดระยะเวลาส่งมอบในวันที่ 24 พ.ย.2558 แต่เนื่องจากติดปัญหาหลายอย่างทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด โดยมีการขยายเวลาการก่อสร้างไปแล้ว 4 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ ครั้งที่ 1 ขยายเวลาก่อสร้าง 387 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2558-15 ธ.ค.2559 เนื่องจากติดปัญหาการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า และดินที่เกิดจากเสาเข็มเจาะไม่สามารถหาที่ทิ้งได้ ครั้งที่ 2 ขยายเวลา 423 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.2559-9 ก.พ.2561 จากปัญหาเดิม ครั้งที่ 3 ขยายเวลา 674 วันตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.2561-15 ธ.ค.2562 เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ส่วนที่เหลือไม่เป็นไปตามสัญญา ครั้งที่ 4 ขยายเวลา 382 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.2562-31 ธ.ค.2563 เนื่องจากการทำงานไม่เป็นไปตามแผนงาน ปัญหาเรื่องงบประมาณ ปัญหางานนอกสัญญาหลักมีความล่าช้า จนถึงปัจจุบันใช้เวลาก่อสร้างมานานจะครบ 7 ปี แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ
ป.ป.ช.เรียก “เอ๋” ให้ข้อมูลรุกป่าเพิ่ม
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเรื่องการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินกรณีการครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนที่ จ.ราชบุรี ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐว่า คดีของ น.ส.ปารีณาอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อมูล ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้มากนัก แต่ให้นโยบายเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.2563 นี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่บางประเด็น จึงนัดให้ น.ส.ปารีณามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเร็วๆนี้แล้ว