จิตยังไม่แข็ง ตบะยังไม่แกร่งพอ

กับจังหวะล่าสุดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แตะเบรก ชะลอการแจกเงิน 2,000 บาท ตามมาตรการประคองเศรษฐกิจ รับมือวิกฤติไวรัส โควิด-19

ผวาแรงเขย่า เกมแห่กระแสด่าในโซเชียลมีเดีย

ผู้นำรัฐบาลชักออกอาการ “เกร็ง” กับแรงเสียดทานที่พุ่งเข้าปะทะ พานให้การบริหารชะงัก

“ชักเข้าชักออก” ในจังหวะที่วิกฤตการณ์ไวรัสมรณะจ่อปากประตู

ทั้งๆที่ดูจากการชี้แจงรายละเอียดโดยนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ที่กางแผนผังฉายภาพใหญ่ ยืนยันมาตรการเศรษฐกิจสู้โควิด–19 ชุดแรกที่ออกมา ครอบคลุมครบทั้งช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ softloan และมาตรการทางภาษี

ที่สำคัญคือแรงจูงใจไม่ให้เลิกจ้างแรงงาน เพราะหักต้นทุนแรงงานที่จ้างไว้ไปหักภาษีได้ 3 เท่า

ตามฉากการนั่งแถลงแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่งภายหลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายอุตตม รวมถึงนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน

นั่นหมายถึงมาตรการประคองเศรษฐกิจสู้โควิด–19 ผ่านการหารือ กรองความเห็นจากทุกฝ่าย

ไม่ได้ปล่อยออกมามั่วๆ คิดกันชั่วข้ามคืน

ตามตัวเลขการแจกเงิน 2,000 บาท เป็นเพียงเสี้ยวเดียววงเงิน 3 หมื่นล้านบาท จากวงเงินกว่าแสนล้านบาท เน้นช่วยประชาชนมีรายได้น้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับรถแท็กซี่ ไกด์ทัวร์ พนักงานโรงแรม ที่กำลังเดือดร้อนหนักจากการตกงาน ขาดรายได้ แทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ

...

คนจะอดตาย เหมือนปั๊มชีพจรคนไข้ไอซียู มัวแต่ให้น้ำเกลือตายก่อน

ที่สำคัญไทยยังช้ากว่า เพราะเมืองเศรษฐกิจดีๆของโลกนำร่องแจกไปก่อนแล้ว ทั้งฮ่องกงที่แจกเงินประชาชนคนละ 40,000 บาท สิงคโปร์จ่ายคนละ 7,000 บาท ตามยุทธศาสตร์อัดฉีดเศรษฐกิจแบบฉุกเฉิน

นี่คือข้อเท็จจริงที่ข่าว 3-4 บรรทัดในโซเชียลฯอธิบายไม่ได้หมด

แต่มันเป็นโจทย์สถานการณ์ง่ายๆของฝ่ายค้าน ขบวนการหมั่นไส้ “บิ๊กตู่” ที่แค่ตีปี๊บโห่ฮา แห่กระแสมโนโซเชียลฯผสมโรงด่ารัฐบาลทุกเรื่อง เตะตัดขารัฐบาลทุกจังหวะ

นักวิชาการขาประจำ ขาจร ดาราโหนกระแส เกาะขบวนกันครึกโครม

และก็เข้าเป้า ในอารมณ์ขู่จน “บิ๊กตู่” ใส่เกียร์ถอยแทบหงายหลัง

โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สังคมส่วนใหญ่ พลังเงียบที่ไม่ได้เสพโซเชียลฯจะให้น้ำหนักใครมากกว่าระหว่างฝ่ายลงมือทำกับพวกด่าลอยๆแค่มันปาก

เล่นการเมืองบนความเป็นความตายของประชาชนคนไทย

และถึงตรงนี้ ไม่รู้จะโทษใคร ในอารมณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์บ่นเป็นเชิงระบาย ขณะเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งที่ 1/2563 ตามน้ำเสียงซีเรียส เน้นย้ำ

ผู้บริหารหน่วยราชการให้เป็นหลักในการรับวิกฤตการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญ

ยอมรับการแก้ไขปัญหาระดับล่างมีปัญหาพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความเข้าใจ

อันดับแรกเลย ต้องโทษกระบอกเสียง “บิ๊กตู่” เองนั่นแหละ ทีมโฆษกรัฐบาลยังอ่อนเชิงอยู่เยอะ

โดยปรากฏการณ์ที่มาตรการประคองเศรษฐกิจถูกผูกโยงกับปมขาดแคลนหน้ากากอนามัย

กลายเป็นดราม่า “หมอ” หมั่นไส้รัฐบาล โหมเชื้อชนวนเข้าเหลี่ยมม็อบไล่ “บิ๊กตู่”

ทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ในมุมการเร่งมาตรการเศรษฐกิจแจกเงินตรงถึงมือคนรายได้น้อยที่แทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ คนกลัวอดตายพอๆกับอาการกลัวโรคระบาด

“บิ๊กตู่” มัวชักเข้าชักออก คนไม่มีกิน แห่ผสมโรงม็อบไล่รัฐบาลลามแน่

ขณะที่สถานการณ์ขาดแคลนหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องของมาตรการรับมือไวรัส มันคือปมด้อยในการบริหารจัดการภายใต้การกำกับของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์

ทำได้แค่สั่งการผ่านข้าราชการ โยนกลองกรมการค้าภายใน

ทั้งๆที่มันเป็นงานง่ายๆกับการที่รัฐมนตรีจะลุยไล่บี้ไล่เช็กสต๊อกหน้ากากอนามัยจากโรงงานวันละ 10 ล้านชิ้น ตามประกบการขนส่งกระจายไปถึงจุดหมายปลายทาง บล็อกไม่ให้เกิดการกักตุน

ถึงจุดวิกฤติสะท้อนกึ๋น ประจานเกมแจกโควตาเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลแต่ทำงานไม่เป็น

เห็นๆกันเลยว่า ไวรัสที่ว่าน่ากลัว แต่ยังไม่เท่าเชื้อร้ายจากวิกฤติแตกแยกในสังคมไทยที่แฝงอยู่ ทั้งในกระบวนการจ้องโค่นอำนาจรัฐบาล และพวกที่โหนขบวน “บิ๊กตู่”

ไม่แปลก ถ้าชาวบ้านยุส่งให้โควิด–19 ล้างการเมืองเน่าให้ตายไปทีเดียวเลย.