เพิ่มแต้มบวก ฉาบสนิมเนื้อใน

นับถอยหลังเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ประเดิม 25 ธันวาคมนี้ด้วยเทศกาลคริสต์มาสก่อนเลย

สถานการณ์ที่ผู้คนในสังคมกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมตัวเฉลิมฉลอง ท่องเที่ยว กลับบ้าน เคลียร์งานคั่งค้าง คิดถึงโปรแกรมสนุกสนานล่วงหน้ากันแล้ว

แนวโน้มไม่สนใจข่าวสารการเมือง ลืมเรื่องเครียดๆ อย่างน้อยก็อีกพักใหญ่

ก่อนอื่นในโอกาสนี้ก็คงต้องให้กำลังใจคนทำงานหนักมาตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในส่วนของรัฐบาลที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ต้องเจอปัญหาปวดหัวทุกวัน

ถึงขั้นต้องใช้ “น้ำมันกัญชา” หยอดให้นอนหลับ

แต่ที่หนักหนาสาหัสสุดก็คือปมร้อนด้านเศรษฐกิจที่ต้องรับมือกับภาวะสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจสหรัฐอเมริกากับจีนแผ่นดินใหญ่

ในสถานการณ์แบบที่ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กระบี่มือหนึ่งด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องงัดวิทยายุทธ์ “เศรษฐกิจขาเดียว” อัดฉีดมาตรการกระตุ้นน้ำเลี้ยงปากท้องชาวบ้านฐานราก จนถึงชนชั้นกลาง โดยผ่าน “ศิษย์ก้นกุฏิ” อย่าง “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง

ดันโปรโมชัน “ชิมช้อปใช้” เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 ตามสูตรอัดเงินเข้าระบบหมุนเวียนเศรษฐกิจ ทั้งผลักทั้งดันจนฮิตติดกระแส ชาวบ้านร้านตลาดเข้าร่วมโครงการกันทั่วบ้านทั่วเมือง

หมุนฟันเฟืองเศรษฐกิจฐานรากไม่ให้ฝืดจนขยับไม่ได้

อีกส่วนก็เป็นเรื่องของการเดินสายดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้าร่วมเมกะโปรเจกต์เรือธงอีอีซี “สมคิด” ก็หนีบมือบริหาร “คู่หู” อย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เดินสายผูกเสี่ยวจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ดึงนักลงทุนหนีสงครามการค้ามาปักหลักไทย แย่งกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม

...

“สมคิด” ขาลอย แต่ก็ออกแรงเข็นครกขึ้นเขาเต็มที่ และวัดกันจริงๆผลก็ออกมาคุ้มค่าเหนื่อย แบบที่ล่าสุดสถาบัน S&P ได้มีการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงบวก”

บ่งบอกความมั่นใจต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทย

เป็นอะไรที่การันตีด้วยมุมมองนักลงทุนต่างชาติมั่นใจ องค์การจัดระดับเศรษฐกิจของโลกให้เครดิตทีม “สมคิด” จากรัฐประยุทธ์ 1 ต่อเนื่องประยุทธ์ 2 สวนทางกับเกมแห่อุปาทานหมู่ ฝ่ายค้านดักเตะตัดขารัฐบาล

เจาะยางดิสเครดิตรัฐบาล หวังผลทางการเมืองตามฟอร์ม

ถึงจุดที่ต้องยอมรับสภาพ การเมืองคือตัวฉุดเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง

ตามจังหวะส่งท้ายปีด้วยช็อตดุ องศาร้อนก่อนพักเบรกเทศกาลแห่งความสุข ที่ประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.ทีมสีส้มได้ลงมติขับ 4 ส.ส.ของพรรค

ประกอบด้วย นางศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ เขต 8 นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี เขต 2 พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี เขต 1 และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี เขต 7

ฐานฝ่าฝืนลงมติในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ตรงกับมติพรรค

หักดิบกันแรงๆ เชือดไก่ให้ลิงดูเป็นเยี่ยงอย่าง

แต่งานนี้แทนที่จะสะดุ้งสะท้าน กลับกลายเป็นเข้าทาง อาการอย่างนางศรีนวลแสดงความขอบคุณค่ายอนาคตใหม่ที่ให้อิสระโบยบิน ย้ายสำมะโนครัวเข้าสังกัดพรรคใหม่แบบรวดเร็วทันใจ

นั่งประชุมสภาในโซนพรรคภูมิใจไทยในทันทีทันใด

ส่วนนายจารึกกับ พ.ต.ท.ฐนภัทร 2 ผู้แทนฯเมืองจันท์ มีแนวโน้มกอดคอเข้าสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ขณะที่ น.ส.กวินนาถรับการเชื้อเชิญให้เข้าสังกัดค่ายพลังประชารัฐหรืออาจเป็นพรรคพลังชล

ตามรูปการณ์ อดีตลูกทีมสีส้มไหลมาเข้าสังกัดขั้วพรรคร่วมรัฐบาล

เท่ากับว่า “เสี่ยเอก” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และลูกทีมค่ายสีส้ม ได้มอบของขวัญปีใหม่ที่ล้ำค่าให้กับรัฐบาล

เพิ่มแต้มบวกให้ “บิ๊กตู่” โดยอัตโนมัติ

นั่นยังไม่นับแนวโน้ม 4-5 เสียงของพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่โหวตเข้าทางฝั่งรัฐบาล รวมไปถึงอีก 1 เสียงของนายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี เขต 3 พรรคประชาชาติ ที่ฝืนมติพรรคมาเข้าทางฝั่งรัฐบาล ส่อเค้าถูกอัปเปหิ

นับไปนับมารัฐบาลส่อได้กำไรเพิ่มอีกนับ 10 เสียง

โดยสถานการณ์ฝ่ายค้านเสียดุลให้ทีมหนุน “บิ๊กตู่” ซึ่งเมื่อนับไปกลับจาก 10 เสียง นั่นเท่ากับฝ่ายค้านแต้มห่างจากรัฐบาลเกือบ 20 เสียง

อารมณ์แบบที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยอมรับสภาพตรงๆเคยเสนอไปว่าให้ใจเย็นๆ ถ้าผลัก ส.ส.ออกไป เขาก็จะไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาล

ฝ่ายค้านก็จะเสียไปเต็มๆ เราก็ยิ่งแพ้ใหญ่ เสียงปริ่มน้ำก็จะไม่ปริ่มน้ำ

เอาเป็นว่าสถานการณ์ “ปริ่มน้ำ” ของทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ลดลงมาระดับปลายคางแล้ว แนวโน้มการวัดกำลังโหวตกับฝ่ายค้านน่าจะลดดีกรีความตึงเครียดลงระดับหนึ่ง

แต่ไม่ได้หมายถึงรัฐบาล “บิ๊กตู่” จะอยู่ได้แบบเบาเนื้อเบาตัว

เพราะจุดที่ยังไม่ชัวร์ สถานการณ์น่ากลัวสุดมันอยู่ที่ “สนิมเนื้อใน” ต่างหาก อาการขบเหลี่ยมภายในพรรค ร่วมรัฐบาลผสม 18 พรรค อยู่กันแบบร้อยพ่อพันแม่

ลิงแงงอ ป้อนกล้วยเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม

อารมณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” ต้องกระโดดจากหอคอยงาช้าง ลงจากตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล มาคลุกฝุ่นคลุกวงในกับ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล สั่งจัดมีตติ้ง เลี้ยงสังสรรค์ผู้แทนฯถี่ยิบ

ขึ้นเวทีร้องเพลง เต้นแร้งเต้นกากัน 2-3 รอบติดๆ

เพราะรู้ฤทธิ์เดชนักการเมืองแล้ว ไม่หมูเหมือนตอนเป็นผู้นำอำนาจพิเศษสั่งซ้ายหันขวาหันได้

ยิ่งในสภาพที่รัฐบาลผสม “เกาะเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์บางๆ”

แม้แต่ในพรรคแกนนำอย่างค่ายพลังประชารัฐยังเกิดแรงกระเพื่อมจากขบวนการ “คนอยากใหญ่” ที่เปิดปฏิบัติการเขย่าอำนาจภายใน ดันหลัง “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ยึดแป้นเลขาธิการพรรคจาก “เสี่ยสน” นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน

แต่เบื้องลึกไปกว่านั้น มันคือการปูทางให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประธานยุทธศาสตร์พรรค เข้ามายึดตำแหน่งหัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ

รองฐานอำนาจการเมืองจากที่ขาลอยจากอำนาจกองทัพ

อีกจุดที่กระเพื่อมหนักก็คือสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่แตกเละเป็นเสี่ยงๆตามสภาพการณ์ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค กุมสภาพไม่ได้เบ็ดเสร็จ

50 กว่าเสียงนับตัวเลขชัวร์ๆไม่ได้ แบ่งเป็นก๊วน สายใคร สายมัน

สถานการณ์แบบที่ล่าสุด นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งเก้าอี้ ส.ส. และได้รับแต่งตั้งจาก ครม.ให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีทันที

พร้อมจ่อนั่งแท่นประธานคณะกรรมาธิการฯ ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ประชาธิปัตย์สูญเสียบุคลากรมือดี เลือดไหลไม่หยุด ที่สำคัญพวกที่หนีออกมาส่วนใหญ่กลายมาเป็นมือไม้สำคัญ ทำงานให้ทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์

นั่นก็ย่อมกระตุ้นต่อมแค้น ย้ำอารมณ์ชิงชัง “บิ๊กตู่” ยิ่งฝังลึก

สถานการณ์ “กลืนเลือด” เกาะเอวร่วมรัฐบาล แฝงแค้นรอวัน “เอาคืน”

ประชาธิปัตย์สาย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่มีทางกลืนเป็นเนื้อเดียวกับรัฐบาล พร้อมเกิดอาการเฮี้ยวแบบที่โหวตสวนคิว “กมธ.เช็กบิล ม.44” ได้ทุกช็อต โดยเฉพาะคิวรื้อรัฐธรรมนูญ

หรือแม้แต่พวกที่ “อยู่เป็น” อย่าง “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ประกบ “บิ๊กตู่” เป็นเงาตามตัว

ทำตัวใกล้ชิดนายกฯมากกว่าทีมงานของพลังประชารัฐ

ล่าสุดเจ้าตัว “เสี่ยหนู” ประกาศชัดๆมีความสุขกับการร่วมรัฐบาล เพราะเราเป็นพรรคปฏิบัติการ

ตราบใดที่ยังได้ทำงาน ก็ย่อมมีความสุข

“อนุทิน” เป็นลูกคู่ควงไมค์ร้องเพลง เต้นกับ “บิ๊กตู่” อย่างเมามันเป็นธรรมชาติทุกเวที

นี่คือสถานการณ์ยังอยู่ในจุดที่แชร์อำนาจ เกลี่ยผลประโยชน์กันลงตัว

แต่ตามสภาพรัฐบาลผสม 18 พรรคที่ “เกาะเกี่ยว” กันด้วยเส้นผลประโยชน์บางๆ ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมาย มุ่งชิงเหลี่ยมการเมืองเป็นหลัก มากกว่าการบริหารบ้านเมืองภาพรวม

ในอารมณ์เตรียมพร้อมเลือกตั้งอยู่ตลอดเวลา

ได้แต้มบวกของฝ่ายค้านมาฉาบรอยสนิมเนื้อใน แต่ไม่มีหลักประกัน ถึงจุดผลประโยชน์ขัดกันเมื่อไหร่

ถ้าประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยออกฤทธิ์ใส่ “บิ๊กตู่”

ช็อตที่ พล.อ.ประยุทธ์ชูมือนายจุรินทร์กับนายอนุทิน ร่วมร้องเพลง “จับมือกันไว้” ของศิลปิน “เบิร์ด ธงไชย” ในงานเลี้ยงปีใหม่นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล

มันก็แค่ภาพปาหี่ในสายตาชาวบ้านเท่านั้นแหละ.

“ทีมการเมือง”