หรือพรรคอนาคตใหม่ กำลังเข้าสู่ช่วงขาลง จากความพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อม เขต 5 จ.นครปฐม ดูแตกต่างจากการเลือกตั้ง 24 มี.ค.ที่ผ่านมา เพราะครั้งนั้นพรรคส้มหวาน ได้ที่นั่ง ส.ส.อย่างถล่มทลายเกินคาด แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เผชิญกับหลายๆ มรสุม และวาทกรรมทางการเมืองจากฝ่ายตรงกันข้ามซัดต่อเนื่อง จนอาจจะเป็น "พรรคส้มเน่า" ก็เป็นไปได้ในอนาคต
ด้าน "รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ผ่าน "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" โดยแยกออกเป็น 2 เรื่อง ระหว่างการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ ซึ่งในแง่ของการเมืองท้องถิ่น ได้สะท้อนให้เห็นว่าตระกูลสะสมทรัพย์ ยังมีบารมีในพื้นที่ เมื่อพิจารณาจากคะแนนเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า เผดิมชัย สะสมทรัพย์ คะแนนลดวูบเหลือ 1.2 หมื่นกว่าคะแนน หรือหายไปร่วม 3 หมื่นกว่าคะแนน หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2554 ได้คะแนน 4.8 หมื่นคะแนน เนื่องจากเลือกตั้งล่าสุดคะแนน 2 หมื่นกว่าไปอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่ ดังนั้นคะแนน 1.2 หมื่น จึงคือฐานที่แท้จริงของเผดิมชัย ทำให้ต้องลงพื้นที่อย่างจริงจัง ทั้งเคาะประตูบ้าน แบบว่าแพ้ไม่ได้
...
ขณะเดียวกัน เมื่อมองในแง่การเมืองระดับชาติ พบว่าคะแนนเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. ของพรรคพลังประชารัฐ 1.8 หมื่นคะแนน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ทางพรรคพลังประชารัฐเทคะแนนให้กับพรรคชาติไทยพัฒนา ทำให้ เผดิมชัย ได้คะแนน 3 หมื่น บวกกับอีก 6 พันกว่าคะแนนที่หายไปจากพรรคอนาคตใหม่ จึงเท่ากับว่าเผดิมชัยได้คะแนน 3.7 หมื่นคะแนนพอดี
“ตรงข้ามกับผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ คะแนนไม่บวกไม่ลบ หรือเพิ่มเติมใดๆ เพราะฉะนั้นจึงมองได้ว่าจากข้อวิจารณ์อนาคตใหม่ กรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค แถลงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในปมถือหุ้นสื่อ และโดยเฉพาะการออกมาพูดพาดพิงทักษิณ ชินวัตร ทำให้คะแนนอนาคตใหม่ หายไป เพราะเลือกตั้งครั้งที่แล้วพื้นที่นครปฐม เป็นฐานของไทยรักษาชาติ ซึ่งต่อมาได้ถูกยุบพรรค ทำให้คนที่ชื่นชอบทักษิณ เทคะแนนมาที่อนาคตใหม่ จนมาเลือกตั้งซ่อม ทางธนาธรได้พูดพาดพิงทักษิณในศาล อาจทำให้คนไม่ไปลงคะแนนให้ก็ได้ ผมมองว่าจุดนี้คือประเด็นสำคัญ”
ส่วนเหตุที่พรรคอนาคตใหม่พ่ายแพ้ ไม่เกี่ยวกับกำหนดวันเลือกตั้งซ่อม 23 ต.ค. ตรงกับวันหยุดกลางสัปดาห์ ซึ่งไม่มีผล หรือมีนัยสำคัญใดๆ และมองว่าพรรคอนาคตใหม่ ยังไม่สู่ขาลง แต่การพ่ายแพ้น่าจะเกิดจากไม่มีแรงส่งจากพรรค อาทิ ไม่มีกระแสต่อตัวธนาธร เหมือนก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดเทรนด์ "พ่อของฟ้า" และ "ฟ้ารักพ่อ" อีกทั้งสถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ขณะนี้มีปัญหาภายในประเด็น "งูเห่าสีส้ม" จนมีกรรมการบริหารพรรคเริ่มลาออก
“หากอนาคตใหม่ ยังหาทางแก้สถานการณ์ไม่ได้ โอกาสจะสู่ขาลงก็เป็นไปได้ แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤติ อีกทั้งในอนาคตยังมีโอกาสเจอสถานการณ์อื่นๆ จากคดีของธนาธร ทำให้เสี่ยงถูกยุบพรรคได้ แม้ใครจะมองว่ามีโอกาสสูง แต่ส่วนตัวผมให้ 40% จะถูกยุบพรรค ไม่ฟันธง 100% เพราะยังมีอีกหลายปัจจัย หากถูกยุบพรรคจริงๆ คงไม่ดีต่อพรรครัฐบาลแน่นอน” รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวทิ้งท้าย