“นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคออกจากตำแหน่ง โดยเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรคและรัฐบาลเป็นอย่างสูง ถ้าปล่อยไปจะเป็นอันตรายต่อพรรคมาก เพราะนายสนธิรัตน์ บริหารงานผิดพลาดหลายเรื่อง ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ เวลาต้องการจะปรึกษาปัญหาก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข เพราะนายสนธิรัตน์ทำงานไม่ยึดโยงและไม่เห็นหัว ส.ส.ในพรรคแม้แต่คนเดียว” นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาไว้เมื่อครั้งเกิดความขัดแข้งภายในพรรค

แต่แล้ว...ศึกภายในพรรคก็จบอย่าง Happy Ending ภายในคืนเดียว

ประโยคข้างตนทำเอาคนฟังหันขวับ สนธิรัตน์ ชื่อนี้เป็นใคร ถึงได้ถูกกล่าวถึงด้วยประโยคเผ็ดแสบถึงเพียงนี้ ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงเรื่องราวชีวิตของนักการเมืองหน้าใหม่ ในวัย 59 ปี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เกิด 19 มีนาคม 2503 ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต(วัสดุศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ย้อนกลับไปในปี 2559 “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ถูกนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ดึงเข้ามาช่วยงานในการปรับคณะรัฐมนตรี จึงได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ใหม่แกะกล่อง

...

นายสนธิรัตน์ ถูกดึงเข้ามาแทนที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ย้ายมานั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ณ เวลานั้น สนธิรัตน์ถือเป็น 1 ใน 4 รัฐมนตรีใหม่แกะกล่องของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 4 แต่ในแวดวงเศรษฐกิจ สนธิรัตน์ไม่ใช่หน้าใหม่ เพราะด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจ จึงทำให้ได้รับการสรรหาให้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติมาแล้ว(ปี 2557) 

ในปี 2560 สนธิรัตน์ ได้แสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก โดย สนธิรัตน์ มีทรัพย์สิน 113,165,080 บาท

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาทุกครั้งของการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ ของสะสมที่มักจะเห็นบางคนสะสมของบางชนิดเป็นจำนวนมาก และในครั้งนี้ ปรากฏว่า คนที่มีของสะสมที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรัฐมนตรีทั้ง 4 คน คือ สนธิรัตน์

โดยของสะสมที่ว่านี้ก็คือ พระเครื่องชื่อดังที่มีมูลค่าในปัจจุบันมหาศาลจำนวนมาก อาทิ พระสมเด็จเกศไชโย, สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่, พระนางพญาพิมพ์เข่าโค้ง, พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่, พระซุ้มกอกำแพงเพชร, สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปรกโพธิ์, สมเด็จวัดระฆังพิมพ์สังฆาฏิมีหู, พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์, พระร่วงหลังรางปืนสุโขทัย, พระท่ากระดาน กาญจนบุรี, พระหูยาน ลพบุรี, พระมเหศวร สุพรรณบุรี จึงถือเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวเอ้รายหนึ่งเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อในการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ อุตตม สาวนายน ต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เพราะร่วมลงขันทำธุรกิจจัดสรรที่ดินบริเวณเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา กับ อุตตม โดยเป็นการลงทุนร่วมกัน 7 ราย รวมมูลค่า 100 ล้านบาท สนธิรัตน์ลงทุน 20 ล้านบาท หรือร้อยละ 20 อุตตมลงทุน 5 ล้านบาท หรือ 5% ที่เหลือ 75% เป็นหุ้นส่วนธุรกิจคนอื่นๆ

ส่วนโปรไฟล์ทางธุรกิจ เคยเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะไร้ท์พาวเวอร์ จำกัด(ธุรกิจขายตรง), ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด, กรรมการมูลนิธิ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก, กรรมการวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ฝ่ายฆราวาส, กรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ, ผู้อำนวยการโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ชมรม Y-ME สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

สนธิรัตน์ เคยเล่าถึงเส้นทางชีวิตของตัวเองไว้ว่า “ก่อนที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง เคยผ่านประสบการณ์มามากมาย โดยเริ่มต้นสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดในหลายบริษัท ซึ่งเขาเปรียบเป็นเหมือน “มือปืนรับจ้าง” กระทั่งมาเป็น “เถ้าแก่” ทำธุรกิจของตนเอง”

“ยุคชาติชาย(พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) สักปี 2532 เป็นยุคเรียลเอสเตท ผมพลิกจากมือปืนรับจ้างมาเป็นเถ้าแก่และทำธุรกิจของตนเอง โดยตั้งบริษัทเรียลเอสเตทในชื่อ “ธันยธร” ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยโครงการแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ขายไป 400 ล้านบาท ผมใช้เงินก่อตั้งไม่ถึง 50 ล้าน กระทั่งมี ASSET (สินทรัพย์) กว่าพันล้าน โตขึ้นกว่า 30 เท่า” สนธิรัตน์ เคยเล่าไว้เมื่อครั้งที่ธุรกิจเติบโตอย่างพุ่งพรวด

ต่อมา สนธิรัตน์ เกิดไอเดีย ผลิตภัณฑ์ความงามยังขายได้ ไม่ตก ตราบใดที่โลกนี้มีผู้หญิง จึงมีการก่อตั้ง บริษัท เดอะไร้ท์ พาวเวอร์ จำกัด ในปลายปี 2545 โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง, ผลิตภัณฑ์ต้องใช้ในบ้าน

กระทั่ง เดอะไร้ท์ พาวเวอร์ กลายเป็นบริษัทขายตรงที่เติบโตเร็วที่สุด มีสมาชิกประมาณ 4 แสนคน

นั่นคือ เส้นทางธุรกิจของสนธิรัตน์ ผู้ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วอย่างโชกโชน เคยล้มในยุควิกฤติฟองสบู่แต่ก็ไม่ท้อ เขาฝ่าวิกฤติ และกลับมายืนขึ้นผงาดได้อีกครั้งในฐานะคนแถวหน้าของการเมืองไทย.