วูบ หน้ามืด กับตัวเลข 2.8 “สภาพัฒน์” เปิดจีดีพี เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2562 

ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 17 ไตรมาสเทียบกับสถานการณ์ตั้งแต่ปี 2558 รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ

กอดคอ “วิ่งสู้ฟัด” ปั่นจีดีพีจากติดลบ เพราะวิกฤตินักการเมืองแบ่งขั้วชิงอำนาจ ปลุกม็อบออกมาฆ่ากันจนบ้านเมืองเกือบรัฐล่มสลาย เศรษฐกิจวายป่วง นักลงทุนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง

เฉียดๆภาวะสงครามกลางเมือง ประชาชนคนไทยแพ้กันทั้งประเทศ

แต่ทีม “นายกฯลุงตู่” ก็ฉุดกระชากลากถู เข็นครกขึ้นภูเขา จนจีดีพีดีดกลับมาสูงที่ร้อยละ 4 เศรษฐกิจส่งสัญญาณบวก การพัฒนาการทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อเนื่อง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมั่นใจเริ่มกล้ากลับมาลงทุนในภาวะบ้านเมืองสงบ

เมกะโปรเจกต์ปักหมุดเดินหน้าอย่างเห็นเป็นรูปธรรม

เศรษฐกิจกำลังติดลมบน แม้จะอยู่ในคราบของรัฐบาลท็อปบูต

แต่ทุกอย่างก็ถึงจุดพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ สถานการณ์หลังเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม

ในอารมณ์ที่นักการเมืองได้ปลดล็อกอาละวาด ฟาดงวงฟาดงาปั่นบรรยากาศดุเดือดตั้งแต่หาเสียง ปั่นวาทกรรม แบ่งข้างเผด็จการ ประชาธิปไตย

แห่กระแสสาวกกองเชียร์ กระตุกเชื้อชนวนไฟขัดแย้งคุโชนกลับมา

ในสถานการณ์เกมรบครั้งสุดท้ายเพื่อชิงเกมอำนาจจาก คสช.กลับไปอยู่ในมือฝ่ายนายใหญ่ทีมดูไบ

และบังเอิญสุดสูสี ถึงนาทีนี้ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะตัวเลข ส.ส.แต่ละขั้วก้ำกึ่ง

จ่อในระดับ “ปริ่มน้ำ–ใต้น้ำ” นั่นก็ยิ่งทำให้เป็น “ธาตุแท้” นักการเมืองออกลีลาดึงเช็ง ลากเกม ต่อรองเก้าอี้กันอย่างออกหน้าออกตา พรรค “ตัวแปร” ปั่นราคากันอย่างโจ๋งครึ่ม

...

“น้ำเน่า” ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั้งบ้านทั้งเมือง

ตามฉากท้องเรื่องแบบที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นัด “เสี่ยต่อ” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไปนั่งร่วมวงกินข้าว

โพสต์โซเชียลมีเดียโชว์ให้แปรความกันเป็นนัย กำลังทำงานกันอยู่ ไม่ได้กินเฉยๆ

“เล่นลิเก” โหมโรง “ขั้วที่สาม” หลอกคนดู

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ มันเป็นไปไม่ได้ ทั้งด้วยเงื่อนไข “บทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ” และเงื่อนไขสถานการณ์ทางด้านความมั่นคงในห้วงเปลี่ยนผ่านประเทศ

ถ้าภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ “ใจถึง” พอป่านนี้ลุยจับขั้วแบบ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” จบไปนานแล้ว

แต่แนวโน้มก็อย่างที่จับไต๋ได้ ตามรายงานวงในที่ทั้งภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ยกหลักการหรูๆจะแยกกันไปถามประชาชนจะเอากับขั้วที่สามหรือไม่

ถ้าไม่เอาด้วยก็พร้อม “วงแตก” แยกกันไปแบบทางใครทางมัน

และนั่นก็แทรกด้วยการโยนข้อต่อรองโควตา ประชาธิปัตย์ขอกระทรวงนี้ ภูมิใจไทยล็อกเก้าอี้นั้น

มันก็ชัดแค่ “ขั้วหลวมๆ” เฉพาะกิจ แตะมือกันลอยๆ

และนั่นก็ย้อนแย้งกับสภาพการณ์ที่เห็นตรงหน้า ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองยังแตกกันเละซัดกันนัว ไม่รู้กี่ขั้วต่อกี่ขั้ว

จะเอาพลังที่ไหนไปจับมือกับภูมิใจไทย แห่เกมบีบพลังประชารัฐ

อย่าว่าแต่เซียนการเมืองเขี้ยวทันกันจะดักทางได้ ทหารก็รู้ทัน แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปยังอ่านไต๋ออก

ปัญหามันอยู่ที่พรรคตัวแปรยิ่งลากเกมยื้อไป กระแสสังคมเริ่มหมั่นไส้ ยิ่งเป็นอะไรที่อ้างเสียงประชาชนต่อรองผลประโยชน์ อ้างหลักการโน่น ชูหลักการนี่ ถ้าจะให้ดี ลองให้คนไปนั่งดูคอมเมนต์ในรายการข่าวทีวี หรือนับคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊กดูได้

มีแต่เสียงด่า เสียงบ่น “เอียน” กับมุกโบราณของนักการเมืองยุค “พระเจ้าเหา”

กระแสตีกลับ พรรคตัวแปรเสี่ยงตกเป็น “จำเลย”

ส่วน “ตัวเต็ง” แค่ถือไพ่ใบสุดท้ายอยู่ในมือรอคิวโหวตนายกรัฐมนตรี

ตามอาการนิ่งๆของ “นายกฯลุงตู่” ที่พูดตามหลักการ ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเสี่ยงจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน เพราะฉะนั้นถ้าการเมืองในประเทศนิ่ง ตั้งรัฐบาลได้เร็วเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระตุ้นเครื่องยนต์เศรษฐกิจ

สร้างความอุ่นใจให้ประชาชน ยุติความสับสนในสังคม

รัฐบาลชัด ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะฟื้นเองโดยอัตโนมัติ.

ทีมข่าวการเมือง